สรุปแนวคิด “ท๊อป จิรายุส” จาก World Economic Forum 2022
![image](https://cdn-images-1.medium.com/max/1600/1*9yDKrf7rmPj41lSFn3Qv_A.png)
นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทย เมื่อคุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ของ Bitkub Capital Group Holdings ได้รับเชิญไปเข้าร่วมเวที World Economic Forum 2022 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา
World Economic Forum เป็นเวทีระดับโลกที่เหล่าผู้นำ ผู้บริหาร และนักวิชาการจากทั่วโลกมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจโลก โดยจัดขึ้นทุกปีที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 51 แล้ว
และในครั้งนี้ คุณท๊อป จิรายุส ได้เข้าร่วมฐานะตัวแทนนักธุรกิจจากประเทศไทยและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล และเข้าร่วมการเสวนาในหัวข้อ “DeFi — Future of Decentralized Governance” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิอีก 3 ท่าน ได้แก่
1.Mr.Rahul Singh — President Financial Services and Digital Process Operations, HCL Technologies.
2.Mr.Hans-Paul Bürkner — Global Chair Emeritus, Boston Consulting Group.
3.Mr.Akash Shah — Chief Growth Officer, BNY Mellon.
เวทีสนทนาเริ่มต้นด้วยการปูพื้นฐาน DeFi หรือ Decentralised Finance ให้ผู้ชมเข้าใจ ซึ่ง DeFi หมายถึงระบบการเงินแบบกระจายอำนาจที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งในปัจจุบัน วงการ DeFi มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืม การแลกเปลี่ยน ประกัน และอีกมากมาย เรียกได้ว่ามีความใกล้เคียงกับระบบการเงินแบบรวมศูนย์ที่พวกเราคุ้นเคยกันมาก
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก DeFi ยังเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับคนทั่วไป ประเด็นที่ถูกพูดถึงบนเวทีเลยมีตั้งแต่การกำกับดูแล การเป็นที่ยอมรับและใช้งานโดยคนทั่วไป (Mass Adoption) ความเสี่ยงเกี่ยวกับการฟอกเงิน เป็นต้น ซึ่งบทความนี้ได้สรุปมุมมองของคุณท๊อปที่ได้แชร์ให้กับผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่านและผู้ร่วมงาน World Economic Forum
การกำกับดูแล DeFi
Mr.Rahul Singh ได้สอบถามคุณท๊อปเกี่ยวกับมุมมองที่มีต่อประเด็นนี้ โดยคุณท๊อปได้แชร์มุมมองเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า “ให้มองการกำกับดูแล DeFi เป็นเรื่องของระบบเปิดกับระบบปิด ยกตัวอย่าง อินเทอร์เน็ตเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นรัฐบาลต่อต้านแนวคิดที่ว่าคนคนเดียวสามารถกระจายข้อมูลออกไปสู่คนนับล้านอย่างสุดตัว พวกเขาคิดว่ารัฐบาลควรเป็นผู้กระจายข้อมูลหรือสร้างเว็บไซต์ได้เพียงผู้เดียว แต่ตอนนี้แนวคิดนั้นกลายเป็นแนวคิดที่ล้าหลังไปแล้ว
ระบบเปิดเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม ลองดูตัวอย่างจากโทรศัพท์มือถือก็ได้ เมื่อก่อนเรามีมือถือปุ่มกด Nokia 3310 ซึ่งทางผู้ผลิตกำหนดมาแล้วว่ามือถือรุ่นนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง เช่น โทรออก รับสาย เล่นเกมงู ส่งข้อความ แค่นั้น ซึ่งนี่คือระบบปิด เพราะนวัตกรรมถูกกำหนดมาแล้วว่าสามารถทำอะไรได้และมันก็ทำได้อยู่แค่นั้น แต่ต่อมาเรามี Steve Jobs พัฒนา iPhone แต่ตัว Steve Jobs ไม่ได้บอกว่า iPhone สามารถทำอะไรได้ สิ่งที่เขาสร้างคือระบบเปิดที่นักพัฒนาเข้ามาสร้างการใช้งานรูปแบบใหม่ ๆ หรือแอปพลิเคชันบน App Store นั่นเอง และต่อมาก็เกิดการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ มากมาย iPhone สามารถเรียกรถแท็กซี่ได้ สั่งอาหารได้ และอีกมากมาย โดยที่การใช้งานหรือนวัตกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากผู้คนทั่วโลกที่เข้ามาช่วยกันพัฒนาบนพื้นที่เปิดนี้นั่นเอง
การเงินเองก็เช่นกัน ปัจจุบัน เรามีกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนคอยกำหนดนโยบายการเงิน กำหนดอัตราดอกเบี้ยคิดแทนคนทั้งประเทศ ซึ่งก็นับเป็นระบบปิดที่เกิดจากคนไม่กี่คน แต่ในอนาคต เรามองว่าการเงินจะกลายเป็นระบบเปิดที่สามารถอยู่ร่วมกับการเงินแบบเดิมได้ โดยสถาบันการเงินจะทำหน้าที่เป็นด่านแรก คอยกรองผู้ใช้บริการเข้าไปอยู่ในระบบ แต่ตัวบริการจริง ๆ จะเป็น DeFi ที่นวัตกรรมสามารถมาได้จากทั่วทุกมุมโลก ดังนั้น อีกไม่กี่ปีข้างหน้า คำว่า “Permissioned DeFi” จะกลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงมากขึ้น
ตัวอย่างที่มีตอนนี้คือ AAVE Arc ซึ่งเป็น DeFi เจ้าแรกที่จับมือกับ Fireblock ผู้ให้บริการเก็บรักษาและการชำระเงินด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล โดยทาง Fireblock ทำหน้าที่เป็น Whitelister คอยตรวจสอบและอนุมัติผู้ที่จะเข้ามาในบริการแบบ DeFi ของ AAVE Arc วิธีนี้ทำให้ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์แบบเต็มที่จากทั้ง 2 ระบบ”
DeFi กับการ Mass Adoption
อีกประเด็นหนึ่งที่หลายคนสงสัยกัน นั่นคือเรื่องของการ Mass Adoption หรือการที่ DeFi ได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างและถูกใช้โดยคนทั่วไป ซึ่งคุณท๊อปได้ให้มุมมองเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้ ดังนี้
“DeFi จัดเป็น Open-source Protocol รูปแบบหนึ่งที่ทำให้ผู้คนสามารถแลกเปลี่ยนหรือทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งก็เหมือนกับพวก SMTP หรือ TCP/IP ซึ่งแต่ละโปรโตคอลก็เข้ามาแก้ไขปัญหาของอินเทอร์เน็ตที่แตกต่างกัน เช่น SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) ที่ทำให้ผู้คนสามารถส่งอีเมลหากันได้อย่างรวดเร็วและแทบไม่เสียค่าใช้จ่าย ต่อมาก็มีบริษัทเข้ามาสร้าง User Interface เกิดเป็น Gmail หรือ Hotmail ทำให้คนทั่วไปสามารถส่งอีเมลหากันได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังใช้ SMTP
ขณะที่ DeFi เป็นการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาแก้ปัญหาด้านการส่งต่อมูลค่า และก็เช่นเดียวกับ SMTP ที่ต่อไปจะมีบริษัทเข้ามาสร้าง User Interface ทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงบริการการเงินที่ดีกว่าเดิมได้ โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่ากำลังใช้ DeFi หรือบล็อกเชนอยู่
ไม่เพียงแค่นี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนยังสามารถทำให้คนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน หรือที่เรียกคนกลุ่มนี้ว่า Unbank ซึ่งอาจเป็นเพราะคนกลุ่มนี้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีธนาคารเข้าไปเปิดสาขา เพราะธนาคารมองว่าไม่คุ้มต้นทุนที่ต้องเสียไปกับการเปิดและดูแลสาขา แต่ต่อไปคนกลุ่มนี้จะสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินง่ายขึ้น เพียงแค่มีมือถือและอินเทอร์เน็ต
DeFi กับปัญหาด้านอาชญากรรม
อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้ชมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก นั่นคือเรื่องของปัญหาอาชญากรรม ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงิน การก่อการร้าย การ Rug Pull ในโลกของ DeFi ฯลฯ ซึ่งก็มีผู้ชมถามคำถามเกี่ยวกับมุมมองที่มีต่อการฟอกเงินและการก่อการร้าย ซึ่งคุณท๊อปได้แสดงความเห็นไว้ดังนี้
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาด้านอาชญากรรมอย่างการฟอกเงินหรือการก่อการร้ายมันมีอยู่ในทุกยุคสมัย แต่เนื่องจากคริปโทเคอร์เรนซีทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เราสามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส แถมเมื่อไม่นานมานี้ผมได้ไปเยี่ยมชมสำนักงานของ Chainalysis พวกเขาสามารถติดตามธุรกรรมได้ตั้งแต่บล็อกแรกไปจนถึงบล็อกล่าสุดเลย และยิ่งในปัจจุบันก็มีเครื่องมือที่ช่วยให้รัฐบาลสามารถติดตามได้ง่ายขึ้นอย่าง RegTech ดังนั้น ผมจึงมองว่าต่อไปคนธรรมดาจะหันมาใช้สกุลเงินดิจิทัลกันมากขึ้น ในขณะที่อาชญากรหรือผู้ก่อการร้ายจะหันไปใช้เงินสดแทน เพราะเราไม่สามารถติดตามเงินสดได้”
อีกหนึ่งคำถามจากทางผู้ชมเกี่ยวกับการปัญหาที่เกิดขึ้นกับโปรเจกต์ DeFi ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการ Rug Pull หรือการทำงานผิดพลาดส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อนักลงทุน ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของ DeFi โดยคุณท๊อปได้แสดงความคิดเห็นไว้ดังนี้
“สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นข่าวบ่อย ๆ ก่อนอื่นให้เรามองแยกออกเป็น 2 เลเยอร์ก่อน เลเยอร์แรกคือโปรโตคอล เลเยอร์ที่สองคือผู้ให้บริการ ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าวเป็นปัญหาของฝั่งผู้ให้บริการ พวกเขาอาจลืมรักษาความปลอดภัยจนทำให้โจรเข้าไปขโมยเงินออกมาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญหามาจากฝั่งโปรโตคอล
หรืออีกวิธีให้ลองมองเลเยอร์แรกเป็นระบบการเงิน เลเยอร์ที่สองเป็นธนาคารสาขาหนึ่ง หากธนาคารสาขานี้ถูกโจรปล้นก็เท่ากับว่าเป็นปัญหาของฝั่งธนาคาร ไม่ได้หมายความว่าระบบการเงินหรือโปรโตคอลมีปัญหาหรือช่องโหว่แต่อย่างใด”
อนาคตของ DeFi
ประเด็นสุดท้ายที่บทความนี้จะหยิบยกมาเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของ DeFi ซึ่งคุณท๊อปก็ได้ให้ความคิดเห็นที่น่าสนใจไว้ดังนี้
“ปัจจุบัน มูลค่าตลาดรวม (Marketcap) ของทั้งตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอยู่ที่ราว ๆ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบตลาดการเงินทั้งโลกที่มีมูลค่ารวมกันประมาณ 500 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หมายความว่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมีส่วนแบ่งตลาดไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับตลาดโลก
ไม่เพียงเท่านี้ เรายังไม่ได้พูดถึงเรื่องของ Metaverse หรือ Web3 เลยด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดง่าย ๆ Metaverse ก็คือการผสมกันระหว่างเทคโนโลยี VR, AR, Blockchain, Cryptocurrency และ NFT ซึ่งสิ่งนี้จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่สำหรับวิธีที่ผู้คนจะแลกเปลี่ยนมูลค่าในอนาคต เพราะอย่างนั้นผมเลยคิดว่าสิ่งนี้มันจะใหญ่กว่าที่เราคิดมาก ๆ และมันก็อาจมาเร็วกว่าที่คิดจนทุกคนประหลาดใจก็ได้
หากเราลองพิจารณาเรื่องของ Metaverse ไปด้วยแล้ว ผมว่าในอนาคตตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอาจมีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 10% เมื่อเทียบกับตลาดโลกได้เลย”
สกุลเงิน | ราคาล่าสุด (THB) | ซื้อขาย/ วัน |
---|