StakeStone (STO) โครงสร้างพื้นฐาน Omnichain ด้วยสภาพคล่องแบบ Cross-chain

ปัจจุบันแม้ว่า Decentralized Finance (DeFi) จะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องที่กระจัดกระจายและการสร้างผลตอบแทนที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดย StakeStone (STO) เข้ามามีบทบาทเป็นโปรโตคอลโครงสร้างพื้นฐานสภาพคล่องแบบกระจายอำนาจ ออกแบบมาเพื่อเชื่อมช่องว่างเหล่านี้และนำไปสู่การใช้สินทรัพย์แบบ แบบ omnichain ที่ราบรื่น บทความนี้จะนำทุกคนไปทำความรู้จัก อนาคตของ DeFi ผ่านการทำงานของ StakeStone

StakeStone (STO) คืออะไร?

StakeStone คือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานสภาพคล่องแบบ “omnichain” ช่วยให้สินทรัพย์เคลื่อนย้ายและใช้งานได้อย่างง่ายดายในเครือข่ายบล็อกเชนต่างๆ หลีกเลี่ยงข้อจำกัดแบบเดิมและความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายที่แยกจากกันและการ Bridge ข้ามเครือข่าย ช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับผลตอบแทนจากการ stake สินทรัพย์ของตน เช่น Ethereum (ETH) ในขณะที่สินทรัพย์เหล่านั้นยังคงมีสภาพคล่องและสามารถนำไปใช้ได้ในเครือข่ายบล็อกเชนต่างๆ นี่คือข้อดีที่สำคัญกว่าการ stake แบบดั้งเดิมที่สินทรัพย์จะถูกล็อกไว้และไม่สามารถนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นได้

เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่นของ StakeStone

เทคโนโลยีหลักของ StakeStone มุ่งเน้นไปที่การออกแบบแบบ omnichain ซึ่งใช้โครงสร้างพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลัง (เช่น LayerZero) เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ระหว่างบล็อกเชนต่างๆ ได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องใช้ Bridge แบบดั้งเดิมที่มักจะมีความเสี่ยง

โดยมีฟีเจอร์หลักประกอบด้วย

– โทเคน STONE: โทเคนสำหรับ Liquid Staking ของ StakeStone สำหรับ ETH เมื่อผู้ใช้ฝาก ETH เข้าไป พวกเขาจะได้รับโทเคน STONE ซึ่งจะสะสมรางวัลจากการ stake โดยอัตโนมัติ กลไกแบบ non-rebase นี้หมายความว่าจำนวนโทเคนในกระเป๋าเงินของผู้ใช้จะคงที่ แต่คุณค่าของโทเคนแต่ละตัวจะเพิ่มขึ้นตามผลตอบแทนที่ได้รับ

– SBTC และ STONEBTC: เป็นแนวทางการขยาย โมเดล Liquid Staking ไปยัง Bitcoin ด้วย SBTC ซึ่งเป็นโทเคน Bitcoin แบบดัชนีที่มีสภาพคล่องสูง และ STONEBTC ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ได้รับผลตอบแทน โทเคนเหล่านี้ทำให้ผู้ถือ Bitcoin สามารถสร้างผลตอบแทนจาก BTC ของตนและนำไปใช้ใน DeFi ได้

– LiquidityPad: ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ระบบนิเวศบล็อกเชนใหม่ๆ สามารถดึงดูดสภาพคล่องได้ ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมให้สินทรัพย์จากเครือข่ายที่พัฒนาแล้วอย่าง Ethereum ไหลเข้าสู่เครือข่ายใหม่ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกัน ทำให้เครือข่ายใหม่ๆ สามารถเติบโตได้ และทำให้ผู้ใช้งานในเครือข่ายเดิมยังสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ

การพัฒนา StakeStone และ ผู้ก่อตั้ง

StakeStone ก่อตั้งขึ้นในปี 2023 เริ่มต้นด้วยการเป็น seed company จากประเทศสิงคโปร์ โดย Charles K โดย StakeStone ประสบความสำเร็จในการระดมทุนได้ 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Polychain และ OKX ปัจจุบัน StakeStone โดยมีแข่งขันในตลาดที่มีคู่แข่งมากถึง 544 ราย โดยคู่แข่งรายใหญ่ ได้แก่ Lido, Kiln และ EigenLayer

Charles K คือผู้ร่วมก่อตั้งและผู้นำ ของ StakeStone ด้วยประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการที่กว้างขวางในโลก Web3 เขามีภูมิหลังที่แข็งแกร่งในการนำทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับ เว็บเทรดแบบรวมศูนย์ (CEX) และ hardware wallets มีความเชี่ยวชาญพิเศษในการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินแบบอนุพันธ์และสถาปัตยกรรมข้ามเครือข่าย

ในปี 2023 หลังจาก Ethereum Shanghai upgrade และการเติบโตของระบบนิเวศแบบ multi-chain Charles K ได้ก่อตั้ง StakeStone ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องที่กระจัดกระจาย วิสัยทัศน์ของเขาคือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสภาพคล่องที่แข็งแกร่งสำหรับ ทุกเครือข่าย (all-chain) เขาเชื่อว่าคุณค่าที่แท้จริงของโปรเจกต์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่ มูลค่าเงินที่ถูกล็อก (TVL) เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการนำไปใช้งานจริงและโมเดลเศรษฐศาสตร์โทเคน (tokenomics) ที่ออกแบบมาอย่างดี

โทเคน STO คืออะไร?

โทเคน STO เป็น native utility และ governance token ของระบบนิเวศ StakeStone ใช้งานเป็นอรรถประโยชน์ และการกำกับดูแลแบบกระจายอำนาจในระบบนิเวศ StakeStone เมื่อผู้ใช้ล็อกโทเคน STO พวกเขาจะได้รับ veSTO ซึ่งเป็นโทเคนที่โอนไม่ได้แต่ให้สิทธิ์ในการโหวต ผู้ถือ veSTO สามารถโหวตการตัดสินใจที่สำคัญของโปรโตคอลได้ เช่น การจัดสรรสิ่งจูงใจให้กับ liquidity pool ใด สิ่งนี้จูงใจให้ผู้ใช้มีความผูกพันในระยะยาวและมั่นใจว่าชุมชนมีส่วนร่วมโดยตรงในการพัฒนาของโปรโตคอล

การจัดสรรโทเคนและ Tokenomics ของ STO

อุปทานทั้งหมดของโทเคน STO มีจำนวน 1,000 ล้านโทเคน การจัดสรรถูกออกแบบมาอย่างมีกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนในระยะยาวและส่งเสริมระบบนิเวศที่แข็งแกร่งและกระจายอำนาจ การจัดสรรมีดังนี้

– นักลงทุน: 21.5%

– แพลตฟอร์ม (มูลนิธิ): 18.65%

– ชุมชน: 17.87%

– ทีมพัฒนา: 15%

– การตลาดและพันธมิตร: 9.13%

– Airdrop และสิ่งจูงใจในอนาคต: 7.85%

– คลังสภาพคล่องและระบบนิเวศ: 10%

โมเดล tokenomics ของ STO นี้มีระบบ veSTO เป็นหัวใจสำคัญ มีจุดประสงค์เพื่อสร้างวงจรที่ดี โปรโตคอลสามารถ “bribe” ผู้ถือ veSTO ด้วยโทเคนของตนเองเพื่อดึงสภาพคล่องมายังโปรเจกต์ของพวกเขา และส่วนหนึ่งของรางวัล STO จะถูกเผาทำลายเพื่อสร้างแรงกดดันเงินฝืด กลไกนี้บวกกับระยะเวลา vesting 30 วันสำหรับการแปลง veSTO กลับเป็น STO จะส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในระยะยาวและทำให้ผลประโยชน์ของโปรโตคอลและผู้ถือโทเคนสอดคล้องกัน

ข้อมูลน่าสนใจด้านราคาของ STO

ข้อมูลจากเว็บไซต์ CoinMarketCap เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2025 เหรียญ STO มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market cap) ที่ 18,451,072 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 583,972,476 บาท

ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ เหรียญ STO ซื้อขายกันอยู่ที่ราคาประมาณ 0.08186 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2.81 บาทต่อ 1 STO โดย STO เคยทำราคาสูงสุด (All-time high) ที่ 0.2152 ดอลลาร์ หรือประมาณ 6.83 บาท ต่อ 1 STO เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2025

เช็กราคาเหรียญได้ที่ bitkub.com

ที่มา : StakeStone Doc, StakeStone Tracxn, CoinMarketCap

— — — — — — — — — —

คำเตือน:

-คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

-ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต

— — — — — — — — — —

หากคุณยังเป็นมือใหม่ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในบทความ “แหล่งความรู้ มือใหม่หัดเทรดคริปโต เริ่มต้นที่นี่” แล้วมาเริ่มต้นเทรดได้วันนี้ที่ Bitkub Exchange → คลิกสมัครเลย

— — — — — — — — — —

StakeStone: Bridging the DeFi Divide with Omnichain Liquidity

The world of decentralized finance (DeFi) is growing at a mind-boggling pace, but let’s be honest — it’s still a bit of a mess. Liquidity is scattered across countless different blockchains, making it hard for users to get the most out of their assets. This is where StakeStone (STO) comes in. It’s a decentralized protocol that acts as an “omnichain” highway, designed to connect these fragmented islands of liquidity and unlock a seamless, cross-chain experience. This article will give you the inside scoop on how StakeStone is building the future of DeFi.

What is StakeStone (STO)?

StakeStone is an “omnichain” liquidity infrastructure built to allow assets to move and be used easily across various blockchain networks. It avoids the traditional limitations and security risks associated with isolated networks and cross-chain bridges. Users can earn returns by staking their assets, such as Ethereum (ETH), while those assets remain liquid and usable across different blockchains. This is a significant advantage over traditional staking, where assets are locked and cannot be used for other purposes.

What Makes StakeStone Different?

At its core, StakeStone’s mission is simple: let you earn staking rewards on your crypto while keeping it completely usable. Think about it — with traditional staking, your assets are locked up and you can’t touch them. StakeStone changes that.

Its key technological features are what make this possible:

— The STONE Token: This is StakeStone’s liquid staking token for Ethereum. When you deposit ETH, you get STONE in return. The beauty of it is that the value of your STONE token grows as it accrues staking rewards. You don’t get more tokens; each token just becomes more valuable over time. This makes it a clean, easy way to earn a yield without a confusing “rebase” mechanism.

— A New Chapter for Bitcoin: StakeStone isn’t just for ETH. It’s also bringing Bitcoin into the DeFi game with SBTC and STONEBTC. These are liquid, yield-bearing versions of Bitcoin that let you earn a return on your BTC holdings, something that’s been a major challenge in the DeFi world for years.

— The LiquidityPad: This is a brilliant solution for new blockchain ecosystems. It acts as a bridge, allowing assets from established networks like Ethereum to easily flow into newer, developing chains. It’s a win-win: the new chains get the liquidity they need to grow, and you, the user, get new opportunities to earn yield.

Who’s Behind StakeStone?

StakeStone was founded in 2023 by Charles K, a true veteran of the Web3 space. Starting as a seed company in Singapore, it quickly gained traction, raising a whopping $32 million from top-tier investors like Polychain and OKX.

Charles K isn’t your average founder. With a background in building products for centralized exchanges (CEXs) and hardware wallets, he’s an expert in everything from financial derivatives to cross-chain architecture. After the Ethereum Shanghai upgrade in 2023, he saw the perfect opportunity to build an all-chain liquidity infrastructure. He believes that a project’s success shouldn’t just be measured by its TVL (Total Value Locked); what truly matters is real-world application and a smart economic model.

What is STO Token?

The STO token is the native utility and governance token of the StakeStone ecosystem. When users lock their STO tokens, they receive veSTO, a non-transferable token that grants voting rights. veSTO holders can vote on critical protocol decisions, such as the allocation of incentives to liquidity pools. This mechanism encourages long-term commitment and ensures the community has a direct say in the protocol’s development.

STO Token Allocation and Tokenomics

The total supply of the STO token is 1 billion. The allocation is strategically designed for long-term sustainability and to foster a strong, decentralized ecosystem:

— Investors: 21.5%

— Platform (Foundation): 18.65%

— Community: 17.87%

— Development Team: 15%

— Marketing & Partnerships: 9.13%

— Airdrops & Future Incentives: 7.85%

— Liquidity & Ecosystem Treasury: 10%

The STO tokenomics model, centered on the veSTO system, aims to create a positive cycle. Protocols can “bribe” veSTO holders with their own tokens to direct liquidity to their projects. Additionally, a portion of the STO rewards are burned, creating deflationary pressure. This mechanism, combined with a 30-day vesting period to convert veSTO back to STO, promotes long-term participation and aligns the interests of the protocol and its token holders.

STO Token Price Snapshot

According to CoinMarketCap on September 9, 2025, the STO coin had a market cap of $18,451,072 (approximately 583,972,476 Thai Baht).

At the time of writing, the STO coin was trading at approximately $0.08186 (or around 2.59 Baht per STO). STO reached its all-time high of $0.2152 (approximately 6.83 Baht per STO) on May 3, 2025.

Check real-time cryptocurrency prices today at bitkub.com

Reference: StakeStone Doc, StakeStone Tracxn, CoinMarketCap

— — — — — — — — — —

Disclaimer:

- Cryptocurrency and digital tokens involve high risks; investors may lose all investment money and should study information carefully and make investments according to their own risk profile.

-Past Returns does not guarantee future returns/performance.

— — — — — — — — — —

Start your crypto trading journey today! If you’re new to the space, get all the information you need in our guide, “Crypto Trading for Beginners: Start Here.”

Ready to trade? Sign up now on Bitkub Exchange → Click to register!

— — — — — — — — — —