บทความ
สรุปประเด็นสำคัญจากงาน Bitkub Meetup ครั้งที่ 5
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด, บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด และ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ร่วม จัดงานเสวนา Bitkub Meetup 2024 ครั้งที่ 5 ในหัวข้อ “3 Generations of Entrepreneurs” งานเสวนาที่นำผู้บริหารของทางเครือบิทคับ และผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายธุรกิจ ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นและถ่ายทอดความรู้ และเส้นทางสู่ความสำเร็จของการเป็นผู้ประกอบการ โดยแบ่งการเสวนาออกเป็น 2 ช่วง คือ The Next-Gen Rising Stars และ 3 Generations of Entrepreneurs
ช่วงที่ 1 : หัวข้อ The Next-Gen Rising Stars
.
ร่วมเสวนา โดย
.
1.คุณ CK Cheong ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด แพลตฟอร์มสำหรับคนทำงาน Freelance
.
2.คุณกานต์ อรรถกร รัตนารมย์ และ คุณซารต์ ปัทมพร ปรีชาวุฒิเดช ผู้ก่อตั้ง BEARHOUSE แบรนด์ชานมและเยลลี่บุกชื่อดัง
.
3.คุณระริน ธรรมวัฒนะ และ คุณนที จรัสสุริยงค์ ผู้ก่อตั้ง GUSS DAMN GOOD ไอศกรีมคราฟต์
.
4.คุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรด้านไอทีและผู้ผลิตคอนเทนต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด (SHOW NO LIMIT)
.
.
CK Cheong เส้นทาง Fastwork และสร้างงานโดยคนไทย กระจายรายได้ให้คนไทยทั่วทุกภูมิภาคและทั่วโลก
— โอกาสของการทำธุรกิจในแบบของ CK Cheong
“ในวันที่ไม่มีใครเชื่อคุณ ไม่มีใครเชื่อในธุรกิจ แต่เรายังเชื่อ นี่คือโอกาส” —
คุณ CK Cheong เริ่มต้นเล่าเส้นทางการก่อตั้ง Fastwork ที่ต้องเข้ามากอบกู้บริษัทที่เงินทุนจำนวน 250 ล้านบาทกำลังจะหมด ทั้งยังเป็นช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทำให้ผู้ร่วมลงทุนหายไปทั้งหมด จนนำมาสู่การทำ convertible note ระยะ 1 ปี เพื่อกอบกู้สถานการณ์ของบริษัท (convertible note คือ หุ้นกู้ที่ให้สิทธิแก้ผู้ลงทุน ที่ไม่ได้มีการคืนเงินต้นเมื่อครบอายุ แต่จะให้สิทธิแก้ผู้ถือในการแปลงหุ้นกูเเป็นหุ้นสามัญ)
สิ่งสำคัญของการธุรกิจในวันนั้นที่ทำให้ Fastwork อยู่มาได้จนทุกวันนี้ คือ “ในวันที่ไม่มีใครเชื่อคุณ ไม่มีใครเชื่อในธุรกิจ แต่เรายังเชื่อ นี่คือโอกาส” นี้คือส่ิงที่คุณ CK กล่างไว้ รวมถึงในช่วงที่บริษัทอยู่ช่วงย่ำแย่ที่สุด คุณ CK กล่าวว่า “คนที่ช่วยบริษัทมากที่สุด และรักบริษัทมากที่สุด คือ พนักงาน ที่คอยช่วยกันทำแคมเปญตั้งใจทำงานกันอย่างมากเพื่อให้บริษัทอยู่ต่อได้”
สิ่งที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จของคุณ CK คือ การที่เขามีจุดแข็งของเป็นนักลงทุน คิดแบบนักลงทุน เน้นย้ำถึงการสร้างแบรนด์ในแบบระยะยาว การสร้างแบรนด์แบบระยะสั้นอาจจะเห็นผลเร็ว แต่ต้องแลกมาด้วยความไม่ยั่งยืน เราสามารถทำการตลาดแบบไม่ต้องเสียเงินได้เพราะมีการอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย โดยเขายกตัวอย่างการทำ TikTok ในช่องของเขาเองที่มีการโพสวิดีโอ 3 คลิป มาตลอด 3 ปี
ในยุคนี้ AI กำลังเป็น S-curve หรืออุตสาหกรรมใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ที่จะเข้ามาเป็นตัวกลางในการสื่อข้ามระหว่างคนต่างภาษาลดอุปสรรคทางด้านภาษา ซึ่งจะเข้ามาช่วยคนไทยที่เก่งเรื่องการบริการมากๆ ได้เป็นที่รู้จัก และช่วยให้คนไทยไปทำงานให้กับคนทั่วโลก ซึ่งคุณ CK มองว่า ปัจจุบันงานยังกระจุกอยู่เพียงแค่ในกรุงเทพมหานคร ถ้าหากการเติบโตของงานต่างๆ สามารถกระจายไปตามจังหวัดต่างๆ จะสามารถช่วยกระจายความเจริญและการเติบโตไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้อีกด้วย
สำหรับความฝันของคุณ CK ที่อยากจะไปให้ถึง คือ ต้องการเป็นตัวอย่างธุรกิจไทยสำหรับฟรีแลนซ์ชาวไทย สร้างโอกาสให้เป็น Softpower ให้กับประเทศไทย และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับคนไทยทั้งประเทศ
— — — — — — — — — — — — — — — — — —
คุณกานต์ อรรถกร รัตนารมย์ และ คุณซารต์ ปัทมพร จาก Youtuber สู่เจ้าของกิจกรรมชานม BEARHOUSE มุ่งเป้าสร้างสาขาทั่วโลก
— โอกาสของการทำธุรกิจในแบบของ คุณกานต์ และ คุณซารต์ BEARHOUSE
“การไม่หยุดมองหาโอกาสใหม่ๆ และ กล้าออกจาก Safe Zone กล้าที่จะทำผิด กล้าที่รู้สึกผิดหวัง” —
ทางด้านของคุณกานต์ อรรถกร รัตนารมย์ และ คุณซารต์ ปัทมพร ปรีชาวุฒิเดช ผู้ก่อตั้ง BEARHOUSE เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นของการธุรกิจจากการเป็น Youtuber นำเงินที่ได้จากการทำช่องของตัวเตรียมจะไปซื้อแฟรนไชส์ชาไข่มุกเจ้าดังเจ้าหนึ่งจากไต้หวัน แต่ด้วยเงื่อนไขที่สูงมากๆ ทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจมาทำแบรนด์ของตัวเอง เริ่มเปิดสาขาแรกที่สยาม ด้วยการไม่ทำประชาสัมพันธ์เปิดเผยตัว จึงทำให้การขายในวันแรกๆ ไม่มีลูกค้าเลย จึงตัดสินใจโพสต์เชิญชวนให้คนเข้ามาลองชิมพร้อมรับ feedback จนทำให้เสียงตอบรับจากแบรนด์ดีขึ้นมากๆ โดยคุณซารต์กล่าวว่า “การไม่หยุดมองหาโอกาสใหม่ๆ และ กล้าออกจาก safe zone กล้าที่จะทำผิดกล้าที่รู้สึกผิดหวัง” เพราะที่ผ่านมา ทำมาแล้วทั้งหมด 4 บริษัทแต่ก็เจ๊งไปหมด แต่ก็ไม่ยอมหยุดไม่ยอมแพ้
สำหรับการทำงานในบริษัทของ BEARHOUSE มีการนำ AI มาใช้ในคาดการณ์ปริมาณวัตถุดิบและสินค้าที่มีความต้องการ เนื่องจากสินค้าของบริษัทมีหลายผลิตภัณฑ์และออกสินค้าใหม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยลดการทำงานของพนักงานได้เยอะมากๆ และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ทาง BEARHOUSE ยังสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้พนักงานทุกคนมีเวลาส่วนตัวเป็นของตัวเอง แยกแอปพลิเคชันการสนทนาระหว่างเรื่องส่วนตัวออกจากการทำงาน เช่น การใช้ Slack, Notion
ในปัจจุบันทาง BEARHOUSE มีทั้งหมด 36 สาขาแล้ว แต่ทั้งคุณกานต์และคุณซารต์ ต่างก็มองว่าทางแบรนด์จะยังไม่หยุดพยายามขยายสาขา อยากเปิดสาขาในต่างประเทศ มีเฟรนไชส์ทั่วโลก อยากให้คนทั้งโลกได้ลองชิมชานมและเยลลี่บุกสินค้าจากคนไทย ที่ตอนนี้เริ่มขยายการส่งออกเยลลี่บุกไปยังลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
— — — — — — — — — — — — — — — — — —
คุณระริน ธรรมวัฒนะ และ คุณนที จรัสสุริยงค์ เส้นทาง Guss Damn Good เริ่มจากศูนย์สู่ไอศกรีมคราฟต์เปิดสวิชต์ความรู้สึกโคตรดีที่ได้กินไอติม
— โอกาสของการทำธุรกิจในแบบของ คุณระริน และ คุณนที Guss Damn Good
“อะไรที่ไม่เวิร์ค ก็น่าจะเสี่ยงดู แทงสวน” จุดกำเนิดของไอศกรีมเป็นมากกว่าไอศกรีม —
สำหรับ คุณระริน ธรรมวัฒนะ และ คุณนที จรัสสุริยงค์ ผู้ก่อตั้ง Guss Damn Good ไอศกรีมคราฟต์ ตอบด้วยความภาคภูมิใจในเรื่องการทำแบรนด์ที่แตกต่างจากทั้งของคุณ CK คุณกานต์ และคุณซารต์ โดยเริ่มต้นจากเงินทุนเพียง 500,000 บาท ไม่มีช่องทางโซเชียลมีเดีย ไม่มีความรู้เรื่องอาหารเลย มีเพียงเครื่องทำไอศกรีมและส่วนผสมที่ดีที่สุดเท่านั้น โดยความสนใจเริ่มทำธุรกิจไอศกรีม คือ ตอนไปเรียนปริญญาโทที่ Boston มองว่าไอศครีมที่ Boston กับที่ไทย มีลักษณะที่แตกต่างกันมากๆ ไอศกรีมในไทยเน้นการใส่ท็อปปิ้งที่หลากหลาย แต่ของที่โน้นจะเป็นไอศครีมลูกกลมๆ ที่ไม่มีการใส่อะไรลงไปเลย จนทำให้คุณระรินและคุณนทีเริ่มออกชิมและศึกษาไอศกรีทที่ต้องการให้ทุกรสชาติมีเรื่องราว สามารถมีบทสนทนาร่วมกันได้ระหว่างลูกค้าและทางร้าน คุณระรินบอกว่าตอนเริ่มทำ Guss Damn Good ออกมาใหม่ๆ ใครก็ต่างบอกว่า “ไม่เวิร์คหรอก ก็น่าจะสี่ยงดู แทงสวน” ทางคุณระรินและคุณนทีจึงมองนี้เป็นโอกาสสำคัญ เหตุผลหนึ่ง คือ ต้องการทำไอศครีมต้องเป็นจุดเด่น ไม่อยากให้ไอศกรีมมีองค์ประกอบอื่นๆ อยากสร้างไอศกรีมที่เป็นมากกว่าไอศกรีม
ภายใต้การบริหารของคุณระริน มีจุดเด่นที่แตกต่างจากของ Fastwork และ BEARHOUSE คือการยังพัฒนาแบรนด์โดยการใช้คนเป็นส่วนใหญ่อยู่ เพราะมองว่าการทำไอศกรีมของ Guss Damn Good เป็นเหมือนงานศิลปะมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การทำงานหลังบ้านก็มีการใช้เทคโนโลยีบางตัวเข้ามาเชื่อมต่อพนักงานหน้าบ้านและหลังบ้านมากขึ้นด้วยเช่นกัน
สำหรับแบรนด์ Guss Damn Good ที่ตอนนี้มีทั้งหมด 16 สาขา และ BALCONY Cream Tea 1 สาขา ด้วยการทำงานที่เข้าปีที่ 10 แล้วยังมีเป้าหมายที่ไม่เหมือนใคร คือ การทำมิชชั่นของการทำไอศกรีม “อยากเปิดสวิชต์ความรู้สึกโคตรดีที่ได้กินไอศกรีม”
— — — — — — — — — — — — — — — — — —
ช่วงที่ 2 : 3 Generations of Entrepreneurs
.
ร่วมเสวนา โดย
.
1.คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด
.
2.คุณตัน ภาสกรนที ผู้ก่อตั้ง และ CEO อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
.
3.คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่และผู้ร่วมก่อตั้ง LINE MAN Wongnai
.
4.คุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรด้านไอทีและผู้ผลิตคอนเทนต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด (SHOW NO LIMIT)
— — — — — — — — — — — — — — — — — —
อะไร คือ ความสำเร็จของคนทำธุรกิจ
— เคล็ดลับการทำธุรกิจแบบ คุณตัน ภาสกรนที แห่ง อิชิตัน กรุ๊ป
“ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องทำให้วิกฤตเป็นโอกาส อย่าโทษใครถ้าเราไม่พยายามให้ถึงที่สุด และต้องทำให้มากที่สุด อดทนมากๆ” —
สำหรับคุณตัน ภาสกรนที ผู้ก่อตั้ง และ CEO อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถือได้ว่าเป็นเจ้าพ่อคอนเทนต์ในยุคก่อน เป็นคนแรกๆ ที่มี Like แฟนเพจมากถึง 1 ล้านคน โดยคุณตันมองว่า การทำธุรกิจที่ยากที่สุด คือ การเริ่มจากศูนย์ ซึ่งการทำเครื่องดื่มชาขวดทั้งแบรนด์โออิชิและอิชิตันนั้นประสบความสำเร็จได้ เป็นเพราะ “สื่อโฆษณา” ที่ต้องทำสื่อโฆษณาและสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องคิดจนเกินไป จึงจะทำให้มีคนมาติดตาม
เบื้องหลังของการทำยอดขายให้กับโออิชิที่คุณตันไม่เคยเล่าที่ไหน คือ โฆษณาที่เป็นหนอนชาเขียว ของ Unif (ยูนิฟ) จากเดิมที่ Unif เคยครองอันดับ 1 บน Market Share แต่เมื่อโฆษณาชิ้นนั้นออกมา ทำให้ยอดขายของโออิชิสามารถทำตลอดและขายได้อย่างถล่มทยาย จึงกลายมาเป็นบทเรียนสำคัญที่คุณตันบอกว่า การทำสื่อโฆษณา “ต้องบอกด้วยว่าสินค้านี้เป็นของใคร”
ในการทำธุรกิจของคุณตัน มีสูตรสำเร็จที่ใช้ติดต่อกันมาเกือบ 20 ปี คือ การแจกน้ำ แจกสินค้า เน้นการทำการตลาดแบบ Spider marketing ที่เริ่มต้นด้วยการแจกคูปองให้คนเข้ามาใช้บริการ แม้ในช่วงแรกจะเป็นการแจกให้รับประทานฟรี ยอมขาดทุน รวมถึงการทำแคมเปญ ซื้อของในเซเว่นอีเลฟเว่น ครบ 40 บาท แลกซื้อชาเขียว 2 ขวด 25 บาท เป็นแคมเปญที่ทำให้โออิชิสามารถทำยอดขายได้มากมายจนต้องเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น
เบื้องหลังของความสำเร็จไม่ได้มีเพียงเรื่องการทำแคมเปญ แจกสินค้าแจกคูปองหรือทำส่วนลดจากการซื้อขายเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของความกล้า “ต้องกล้าทำ กล้าเสี่ยง กล้า ลองผิดลองถูก” ต้องทำงานแบบ “ซามูไร ที่ต้องทำให้สำเร็จ ไม่เกี่ยงงาน ไม่เกี่ยงเงิน ถ้าทำไม่สำเร็จ ก็ต้องทำให้สำเร็จ” (เพราะถ้าไม่สำเร็จจะต้องคว้านท้อง ในส่วนนี้คุณตันเปรียบเปรยเอาไว้) ความกล้านั้นคือ ต้องลงทุนมาทำโรงงานที่ไม่รู้จักเลย เพราะยอดขายชาเขียวเพิ่มขึ้นมากๆ ถึงกับบอกกับผู้ถือที่ลงทุนว่า ถ้ายอดขายไม่ดีใน 6 เดือน ก็ต้องปิดโรงงาน เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่เทหมดหน้าตัก
คุณตันเน้นย้ำเรื่องการลงทุน คือ ไม่ว่าจะลงทุนอะไร “จะต้องลงทุนในจำนวนที่ยอมรับได้” และ ความสำคัญของ “ของการคิด” ถ้าหากสามารถเปลี่ยนวิธีคิดได้ การทำงานบางอย่างจะสามารถทำได้ง่ายขึ้นและเห็นผลขึ้น เพราะการคิดบ้างครั้งทำให้ติดกรอบมากเกินไป
สำหรับคำแนะนำสำหรับอนาคต คุณตันให้ความเห็นว่า “ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องทำให้วิกฤตเป็นโอกาส ถ้าหามันให้เจอ ทุกวิกฤต ก็คือโอกาส อย่าโทษใครถ้าเราไม่พยายามให้ถึงที่สุด และต้องทำให้มากที่สุด อดทนมากๆ”
— สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องมี ในแบบ ของ คุณยอด ชินสุภัคกุล LINE MAN Wongnai
“ต้องมีความอดทนต่อความเจ็บปวดความเครียด นึกภาพตัวเองเป็นลูฟี่
มีร่างกายเป็นยาง ยิงไม่เข้าฟันไม่เจ็บ” —
คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่และผู้ร่วมก่อตั้ง LINE MAN Wongnai บอกว่าสำหรับการสื่อโฆษณาทาง LINE MAN Wongnai ไม่เคยใช้ตัวของคุณยอดเป็นพรีเซนเตอร์แบบคุณท๊อปและคุณตัน แต่สูตรของทาง LINE MAN จะเป็นเรื่อง Digital Marketing มากกว่า เน้นเรื่องการวัดผลทางการตลาด โดยแบ่งผู้ใช้งานออกเป็น segment และทำการเปรียบเทียบและทดสอบ เช่นเดียวกับการทำการตลาดของกลุ่ม E-commerce เจ้าอื่นๆ
การเริ่มทำธุรกิจในช่วงแรกของคุณยอดเป็นอะไรที่ค่อนข้างยาก เพราะตอนนั้นเริ่มทำเว็บไซต์รีวิวอาหารชื่อว่า “Wongnai (วงใน)” มีคู่แข่งกับเว็บไซต์จากฮ่องกงที่ชื่อว่า “OpenRice” ทั้งยังเป็นยุคที่โซเชียลมีเดียวยังไม่ดังมาก ยังเป็นยุคที่ทุกคนยังใช้มือถือ BlackBerry ผู้คนยังเข้าเว็บไซต์ หรือในด้านของการเป็น Food Delivery มีคู่แข่งรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Grab, Lazada, Shopee ซึ่งทาง LINE MAN Wongnai ยังคงต้องเพิ่มขีดความสามารถกับคู่แข่งกับต่างชาติให้ได้ โดยคุณยอดเชื่อว่าอาหารไทยเป็นจุดเด่นของไทย แต่ยังขาดเรื่องการชูวัตถุดิบ เรายังขาดการชูด้าน geographical identity เพื่อสร้างการเป็นที่รู้จักในวงกว้าง หาจุดเด่นให้คนมาซื้อ ซึ่งทางแพลตฟอร์มเองก็ต้องเพิ่มศักยภาพในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
— สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องมี ในแบบ คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา แห่ง Bitkub
“ต้องมีความเสียสละ ความสำเร็จมีราคาเสมอ และต้องรับความเจ็บปวดให้ได้” —
คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เริ่มต้นด้วยการเล่าถึงการเข้ามาอยู่ในอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซีตั้งแต่ปี 2013 จาก coins.co.th แล้วจากนั้นมาเปิดบิทคับเมื่อปี 2018 เป็น startups ไม่ระดมทุนผ่าน VC และทำงานอยู่บนกำไรของบริษัท โดยแบ่งช่วงของการทำบิทคับเป็น 3 ช่วง คือ
ช่วงที่ 1 War time เป็นช่วงพยายามทำกำไร
.
ช่วงที่ 2 เป็นช่วง Scale up คือการทำให้บริษัทเติบโตขึ้น ในขณะนั้นบิทคับเติบโต 1,000%
.
ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่ทำให้บริษัทมีความยั่งยืน
แต่อย่างไรก็ตามการทำบริษัทก็มีความยากและเป็นบทเรียนสำคัญให้กับชีวิตเหมือนกัน จุดหนึ่งที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ การ over value ในช่วงเริ่มต้นบริษัทไว้มากเกินไป ทำให้การทำงานในช่วง 10 เดือนแรกต้องเสียสละอย่างมาก เพื่อทำให้บริษัทเติบโต และบิทคับเองก็สามารถเติบโตได้มากถึง 1,000% ถึงแม้บิทคับจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็มีช่วงเวลายากลำบากที่เงินสำหรับจ่ายพนักงานเหลือเพียง 2 เดือนเท่านั้น หลังจากที่ผ่านมาได้บิทคับเองก็ยังมีต้องประสบปัญหาอยู่ไม่น้อย เพราะที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้จากอดีต แต่ลืมคิดถึงเรื่องอนาคต เช่น ช่วงเวลาที่บิทคับเติบโตมากที่สุดถึง 2,000% เราก็ลืมเตรียมการรับมือให้ทันการเพราะที่ผ่านมา เราเอาแต่กลัวว่าเกินเหตุการณ์ซ้ำรอยจากอดีต
ข้อเสียอีกประการ คือ การที่บิทคับไม่ทุ่มงบประชาสัมพันธ์ให้คนอื่นช่วยทำ แต่เลือกใช้คนภายใน นั้นคือ คุณท๊อป ที่ภายหลังทำให้ใบหน้าของคุณท๊อปเป็นที่จดจำว่าเป็นบุคคลด้านคริปโต ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร เหรียญจะตก คนก็ว่าเป็นเพราะคุณท๊อป
คำแนะนำสำหรับอนาคต คุณท๊อปบอกว่า เราไม่ควร apply สิ่งเก่าๆ มาใช้กับปัจจุบันหรืออนาคต ต้องกล้าทำส่ิงใหม่ๆ ถ้าไม่รีบทำเราจะทางตามคนอื่นไม่ทัน โอกาสที่จะเป็นผู้ชนะมีเยอะมาก ต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ในโลกของความเป็นจริงคนที่ประสบความสำเร็จบางครั้งไม่ใช่เพียงเพราะเขาเก่ง แต่เพราะเขาเริ่มทำเป็นคนแรกๆ ยิ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆ วิธีการทำงานก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่สามารถนำสูตรเก่าๆ มาใช้ได้อีก ในโลกมีเทคโนโลยีที่จะช่วยทำงานให้ดีขึ้นเร็วขึ้น เพียงต้องคิดและตัดสินใจให้ถูก โอกาสที่จะสำเร็จก็จะมีมากขึ้น
— — — — — — — — — — — — — — — — — —
คำถามจากผู้ฟัง “ในแต่ละ Generation มีผลกับความสำเร็จหรือไม่”
คุณตัน กล่าว แต่ละยุคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คนในยุคของคุณตันอยู่ได้เพราะความเชื่อและจิตนาการ ยังคงยึดติดอยู่กับธุรกิจแบบเดิม ที่ต้องมีพนักงาน มีโรงงาน ซึ่งคนรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ได้เปรียบกว่า ถึงแม้จะไม่มีต้นทุนก็เริ่มหาลู่ทางการขายได้เลย และคนรุ่นใหม่จะทำได้ดีกว่าคนรุ่นเก่า
คุณยอด แนะนำว่า สิ่งสำคัญ คือ “การมี Self-awareness” คือ การเข้าใจคนใน generation ที่แตกต่าง ต้องเข้าใจคนรุ่นข้างบนเรา รุ่นที่อยู่ข้างล่างเรา และรุ่นถัดไปด้วย เพราะเมื่อแต่ยุคเปลี่ยนไปความถนัดของเราก็ไม่ใช่สิ่งเดิมอีกต่อไปแล้ว
คุณท๊อป กล่าวว่า เราจะต้องมี “beginner’s mindset” เปรียบเหมือนน้ำที่ไม่เต็มแก้ว ต้องเปิดกว้างที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา สำหรับคุณท๊อปในแต่ละปี จะแบ่งเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อไปเรียนหนังสือกับคนทำธุรกิจต่างๆ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจ และเมื่อได้แรงบันดาลใจมาแล้วต้องรีบลงมือทำ เพราะแรงบันดาลใจนั้นมาเร็วไปเร็ว ทุกอย่างวัดที่การลงมือทำ ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว และเราสามารถทำผิดพลาดได้ ต้องแก้ไขและเรียนรู้
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ คุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรด้านไอทีและผู้ผลิตคอนเทนต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด (SHOW NO LIMIT) ที่ทำหน้าเป็นผู้ดำเนินรายการตลาดทั้งงานให้กับการเสวนา Bitkub Meetup 2024 ครั้งที่ 5 ที่ทำให้งานครั้งประสบความสำเร็จลุล่วงได้อย่างราบรื่น และเต็มไปด้วยความประทับใจ ขอขอบคุณในความทุ่มเทและการทำงานอย่างเต็มที่ มา ณ ที่นี้
.
.
— — — — — — — — — — — — — — — — — —
เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวสินทรัพย์ดิจิทัลได้ที่ Bitkub Blog — Bitkub.com
— — — — — — — — — — — — — — — — — —
คำเตือน
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
***ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต”
ที่มา:
Medium