ทำไมต้องเริ่มลงทุนตั้งแต่วันนี้? ตอนที่ 2 : เงินเฟ้อกำลังกัดกินเงินคุณแบบเงียบ ๆ

เงินเฟ้อคืออะไร?

เงินเฟ้อ คือ การเพิ่มขึ้นของระดับของราคาสินค้าและบริการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อมีเงินเฟ้อเกิดขึ้น เงินที่เราถืออยู่จะสามารถซื้อ (purchasing power) สิ่งของได้น้อยลงกว่าเมื่อก่อน ซึ่งหมายความว่าราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของเงินลดลง

ยกตัวอย่างเช่น ราคาของแซนด์วิชในปีที่แล้วหนึ่งชิ้นราคา 50 บาท แต่ราคาของแซนด์วิชในปีนี้หนึ่งชิ้นราคา 55 บาท นี้คือเงินเฟ้อเพราะราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 10% และเงินของคุณไม่สามารถซื้อได้เท่าเดิม เงินเฟ้อมักจะถูกวัดโดยการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาโดยใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

เงินเฟ้อเกิดจากอะไร?

การที่เกิดเงินเฟ้อมีหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อ (inflation) แต่หลัก ๆ ที่เป็นแกนหลักของการเกิดเงินเฟ้อ คือ ความต้องการที่มีมากเกินไปเมื่อเทียบการปริมาณจํานวนสินค้าที่มีอยู่ (demand relative to supply) โดยหลักการของการเกิดเงินเฟ้อสามารถแบ่งออกได้ตามนี้

1. Supply Shocks

หนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดงินเฟ้อคือ supply shocks โดย supply shocks คือ เหตุการณที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุปทานสินค้าต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อราคาของสินค้าเป็นนัย ในส่วน supply shock มักจะมีสองรูปแบบได้แก่ Negative Supply Shock และ Positive Supply Shock

Negative Supply Shock — เหตุการณ์ที่ทําให้ demand ลดลง และราคาสินค้าเพิ่มขึ้น

Positive Supply Shock — เหตุการณ์ที่ทําให้ demand เพิ่มขึ้น และราคาสินค้าลดลง

ยกตัวอย่างของ supply shock เช่น การระบาดของ Covid-19 ทําให้เกิดช็อกฝั่งอุปทาน (Negative Supply Shock) เนื่องจากโรงงานและบริษัทจากทั่วโลกได้ทําการปิดตัวลง เพราะการล็อกดาวน์และการปิดพรมแดนก็ทำให้เครือข่ายการขนส่งและซัพพลายเชนระดับโลกหยุดชะงัก ตัวอย่างเช่น เซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ที่ขาดแคลนซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ผลที่ตามมาของการเกิด supply shock คือการที่หาสินค้ายากขึ้น ในขณะที่ความต้องการนั้นยังสูงหรือเพิ่มขึ้น ที่ส่งผลให้ราคาสินค้าหลายประเภทปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็น เงินเฟ้อจากต้นทุน (Cost-push inflation)

2. Money Supply

อีกหนึ่งสาเหตุของการที่เกิดเงินเฟ้อคือ Money Supply โดย Money Supply จะเกิดเมื่อปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น มักจะทำให้เกิดเงินเฟ้อ เพราะผู้บริโภคที่มีเงินมากขึ้นจะใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น และถ้าสินค้ามีจำนวนเท่าเดิม ราคาก็จะถูกดันให้สูงขึ้น สิ่งนี้เรียกว่า เงินเฟ้อจากฝั่งอุปสงค์ (Demand-pull inflation) นักเศรษฐศาสตร์ มิลตัน ฟรีดแมน เคยกล่าวว่า เงินเฟ้อมักเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเพิ่มของเงินในระบบ แต่จริง ๆ แล้ว แม้เงินจะเป็นปัจจัยหนึ่ง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ความคาดหวังของผู้คน ว่าราคาจะเปลี่ยนแปลงในอนาคตอย่างไร

เงินเฟ้อส่งผลอะไรบ้างในชีวิตเรา?

1. อํานาจในการใช้จ่ายน้อยลง

เมื่อเกิดเงินเฟ้อ ค่าเงินที่เราถืออยู่จะลดลง นั่นหมายความว่าเราต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการในปริมาณที่เท่าเดิม ส่งผลให้ อำนาจซื้อของเราลดลง และทำให้ความสามารถใรการใช้จ่ายต่อความต้องการในชีวิตประจำวันน้อยลง

2. ค่าครองชีพที่สูงขึ้น

เงินเฟ้อทำให้ ค่าครองชีพสูงขึ้น เพราะราคาสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร น้ำมัน และที่อยู่อาศัยมักจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ งบประมาณใช้จ่ายต่อหนึ่งครัวเรือนน้อยบง ส่งผลให้ต้องปรับเปลี่ยนการใช้จ่าย เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

3. ดอกเบี้ยและการออมเงิน

เงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อ เงินออมและการลงทุน ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าดอกเบี้ยที่คุณได้รับ หมายความว่าเงินออมของคุณจะสูญเสียอำนาจซื้อ (purchasing power) ไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ เงินเฟ้อยังสามารถลดผลตอบแทนจากการลงทุนได้ โดยเฉพาะถ้าผลตอบแทนนั้น ไม่ได้ปรับให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ

วิธีการสู้กับเงินเฟ้อ

1. การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ

การลงทุนในสินทรัพย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หุ้นของบริษัทที่มั่นคง หรือแม้กระทั้ง สินทรัพย์ดิจิทัล จะช่วยป้องกันเงินเฟ้อได้ เพราะสินทรัพย์เหล่านี้มีแนวโน้มจะรักษามูลค่า หรือแม้กระทั่งเพิ่มขึ้นในช่วงที่ราคาสินค้าโดยรวมสูงขึ้น

2. การกระจายใน porfolio การลงทุน

การกระจายการลงทุน จะช่วยลดความเสี่ยงที่มาพร้อมกับเงินเฟ้อได้ หากเราถือสินทรัพย์หลากหลาย เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หรือ คริปโทเคอร์เรนซี ก็จะมีความพร้อมมากขึ้นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของทางเศรษฐกิจ

การออมเงินในช่วงเงินเฟ้อ มักจะเป็นในวิธีการเอาเงินสดไปลงในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเติบโตเท่าหรือมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ยกตัวอย่างเช่น การออมเงินในรูปแบบสินทรัพย์ที่เป็น Tangible Asset เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์, การออมเงินในบัญชีฝากประจําที่มีอัตราดอกเบี้ยใกล้เคียงอัตราเงินเฟ้อ, การออมเงินผ่านตราสารหนี้ที่รับประกันความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อ หรือ การออมเงินผ่านวัตถุที่มีแนวโน้มมีมูลค่าเพิ่มในอนาคต เช่น นาฬิการุ่นหายาก หรือ รูปภาพศิลปิน

เงินเฟ้อ vs บิตคอยน์

Bitcoin (BTC) ด้วยโครงสร้างและการออกแบบของ Bitcoin จะต้านทานต่อสภาวะเงินเฟ้อได้โดยธรรมชาติ เพราะด้วยสาเหตุที่ว่ามีจำนวนเหรียญที่จำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ นั้นหมายความว่าจํานวนนั้นคือขีดจํากัดในโปรโตคอลของบิตคอยน์ ซึ่งจะแตกต่างจากสกุลเงินทั่วไป (fiat) ที่ธนาคารกลางสามารถพิมพ์ออกมาได้ไม่จำกัด ซึ่งมักนำไปสู่การด้อยค่าของสกุลเงินและภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดย Bitcoin ไม่สามารถถูกควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงโดยหน่วยงานใดเพียงฝ่ายเดียว

ในสภาวะที่ค่าเงินเฟ้อสูงขึ้น และในบางประเทศที่สกุลเงินมีการเสื่อมอย่างรวดเร็ว Bitcoin มักถูกใช้เป็นเครื่องมือเก็บมูลค่า (store of value) เพื่อรักษาอำนาจซื้อของเงิน แม้ว่า Bitcoin จะมีความผันผวนในระยะสั้น แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาวมองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์เชิง “กลยุทธ์” ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ

สรุป

การที่เกิดเงินเฟ้อ เกิดมาจากหลากหลายปัจจัย โดยหลัก ๆ คือเกิดจาก Supply Shocks และ Money Supply และการที่เกิดเงินเฟ้อจะส่งผลต่อหลายปัจจัยในชีวืต เช่น อํานาจในการใช้จ่ายน้อยลง, ค่าครองชีพที่สูงขึ้น, และส่งผลต่อดอกเบี้ยและเงินออม

โดยการที่เราสามารถสู้กับเหตุการณ์เงินเฟ้อ คือ การที่เราเอาเงินไปลงทุน แต่ในการลงทุนก็ต้องดูถึงความเสี่ยงและความมั่นคงของสิททรัพย์ชนิดนั้นด้วยเพื่อเป็นการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของทางเศรษฐกิจอย่างมีหลักการ

อ้างอิง: workcapital, imf, rbcroyalbank, keptbykrungsri,

— — — — — — — — — — — — — — — — —

หากคุณยังเป็นมือใหม่ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในบทความ “แหล่งความรู้ มือใหม่หัดเทรดคริปโต เริ่มต้นที่นี่” แล้วมาเริ่มต้นเทรดได้วันนี้ที่ Bitkub Exchange → คลิกสมัครเลย

— — — — — — — — — — — — — — — — —

​​- คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

- ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต

— — — — — — — — — — — — — — — — —
Why You Should Start Investing Today — Part 2: Inflation is Quietly Eating Away at Your Money

What is inflation?

Inflation is the increase in the overall price level of goods and services over a period of time in the economy. In other words, when inflation occurs, the money we hold can buy fewer goods and services than before — this means that prices are rising, and purchasing power is decreasing.

For example, if a sandwich cost 50 baht last year and now costs 55 baht this year, that’s a 10% increase in price — this is inflation, because your money can no longer buy the same item at the same price. Inflation is often measured using the Consumer Price Index (CPI), which tracks changes in the prices of commonly purchased goods and services.

What causes inflation?

Inflation can arise from various factors, but the core drivers are often related to the balance (or imbalance) between supply and demand. The primary causes can be categorized as follows:

1. Supply Shocks

One major cause of inflation is a supply shock — an unexpected event that disrupts the supply of goods and services, leading to significant price changes. Supply shocks are typically categorized into two types:

Negative Supply Shock — An event that reduces supply while demand remains the same or increases, pushing prices up.

Positive Supply Shock — An event that increases supply, resulting in lower prices.

For example, the COVID-19 pandemic caused a negative supply shock as factories and businesses around the world closed down due to lockdowns and closures. This disrupted global logistics and supply chains. A well-known case is the semiconductor shortage, which impacted the automotive and electronics industries.

As a result, certain goods became harder to obtain while demand remained high or even increased, pushing prices up rapidly — this is known as cost-push inflation.

2. Money Supply

Another major factor behind inflation is the increase in the money supply. When more money is injected into the economy, consumers tend to spend more, increasing demand. If the supply of goods does not rise accordingly, prices go up. This is known as demand-pull inflation.

Economist Milton Friedman once said that “inflation is always and everywhere a monetary phenomenon.” However, he also emphasized that people’s expectations about future prices play an equally, if not more, important role in driving inflation.

How does inflation affect your life?

1. Reduced Purchasing Power

As inflation rises, the value of money decreases. You’ll need more money to buy the same goods or services, reducing your purchasing power and making daily expenses harder to manage.

2. Higher Cost of Living

Inflation causes the cost of living to rise, especially for essential items like food, fuel, and housing. This can stretch household budgets and force people to adjust their spending to maintain their quality of life.

3. Interest Rates and Savings

Inflation affects both savings and investments. If the inflation rate exceeds the interest you earn, your savings lose value over time. Moreover, inflation can erode investment returns — especially if those returns aren’t adjusted to account for rising prices.

How to counter inflation

1. Investing in Different Assets

Investing in assets such as real estate, shares of stable companies, or even digital assets can help hedge against inflation. These assets often retain or increase their value as prices rise.

2. Diversifying Your Investment Portfolio

Diversifying your investments reduces inflation-related risk. Holding a mix of assets like stocks, bonds, real estate, or cryptocurrencies better prepares you for economic shifts.

During inflation, it’s best to move cash into assets with the potential to grow in value at a pace equal to or greater than inflation. Examples include tangible assets like gold or real estate; high-interest fixed deposits; inflation-protected bonds; or collectibles like rare watches and artworks that tend to appreciate over time.

Inflation vs Bitcoin

Bitcoin (BTC), by design, is naturally resistant to inflation. The protocol limits the total supply to 21 million coins, unlike fiat currencies that central banks can print endlessly — often contributing to currency devaluation and high inflation.

Because of its limited supply and decentralized nature, Bitcoin is immune to control or manipulation by any single entity.

In countries experiencing high inflation or rapidly devaluing currencies, Bitcoin is often used as a store of value to preserve purchasing power. While Bitcoin is volatile in the short term, many long-term investors view it as a strategic asset to hedge against inflation.

Conclusion

Inflation is driven by several factors, primarily supply shocks and increases in the money supply. It impacts everyday life by reducing purchasing power, increasing living costs, and affecting interest rates and savings.

To counter inflation, investing is key — but one must carefully consider the risk and stability of each asset class in order to be economically resilient and make smart, financial decisions.

Sources: workcapital, imf, rbcroyalbank, keptbykrungsri

— — — — — — — — — — — — — — — — —

New to crypto? Learn the ropes with our beginner’s guide, ‘Crypto Knowledge for beginners’. When you’re ready, take the next step and start trading today at Bitkub Exchange. Click here to apply!

— — — — — — — — — — — — — — — — —

Disclaimer:

- Cryptocurrency and digital tokens involve high risks; investors may lose all investment money and should study information carefully and make investments according to their own risk profile.

- Past Returns does not guarantee future returns/performance