Blog
สรุปประเด็นสำคัญจากงาน Bitkub Meetup ครั้งที่ 6 “รู้ทันโลกใหม่: การเงิน เทคโนโลยี และการลงทุนในอนาคต”
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด, บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด และ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ร่วม จัดงานเสวนา Bitkub Meetup 2025 ครั้งที่ 6 ในหัวข้อ “รู้ทันโลกใหม่: การเงิน เทคโนโลยี และการลงทุนในอนาคต” งานเสวนาที่นำผู้บริหารของทางเครือบิทคับ และผู้เชี่ยวชาญ ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นและถ่ายทอดความรู้ด้านโลกการเงินสมัยใหม่ โดยแบ่งการเสวนาออกเป็น 4 ช่วง ประกอบด้วย
ช่วงที่ 1 แอปพลิเคชัน Bitkub ฟีเจอร์ใหม่พร้อมความปลอดภัยมาตรฐานสากล
คุณสกุล มณฑา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านผลิตภัณฑ์ (Chief Product Officer) บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของแอปพลิเคชันการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล บน Bitkub Exchange ด้วย 3 ประเด็นหลัก คือ
— Smarter Trading มาพร้อมกับฟีเจอร์การทำงานใหม่ อย่าง DCA ที่จะให้นักลงทุนระยะยาวสามารถลงทุนได้ทุกช่วงเวลา พร้อมรายละเอียดบอกผลตอบแทนย้อนหลัง, ฟีเจอร์ Grid Trading การตั้งค่าซื้อขายแบบอัตโนมัติเป็นตาข่ายในช่วงราคาที่เรากำหนดไว้, ฟีเจอร์กำหนดช่วงเวลา Take Profit และ Stop Loss
และเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (บิทคับ เอ็กซ์เชนจ์) ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) ซึ่งเป็นใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประเภทที่ 2 ที่ได้รับจากกระทรวงการคลังอย่างเป็นทางการ และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดให้บริการต่อไป
— User-Centric Upgrade มีการทำ KYC Revamp เพื่อการยืนยันตัวตนที่รวดเร็ว ปลอดภัยขึ้น เชื่อถือได้ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมี Privilege Program ซึ่งจะมอบสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับลูกค้า, มีฟังก์ชัน Profit & Loss หรือ PnL ช่วยทำให้ผู้ใช้งานสามารถดู Unrealized และ Realized ในพอร์ตการลงทุน, User Settings Price Alert ช่วยเรื่องการแจ้งเตือนราคาเพื่อไม่ให้พลาดช่วงเวลาที่สำคัญ
— ความปลอดภัย ทางบิทคับได้เพิ่มฟีเจอร์เพื่อสร้างความปลอดภัย Self-Freeze เพื่อให้ลูกค้าสามารถล็อกการถอนเหรียญคริบโทเคอร์เรนซีของตัวเองเพื่อให้ลูกค้าได้มั่นใจได้ว่าสินทรัพย์ของคุณจะปลอดภัย
— All New Application เป็นการ reimagine แอปพลิเคชันทั้งหมด เน้นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ให้ทำงานได้เร็วขึ้น และสะดวกขึ้น
ช่วงที่ 2 ความไว้วางใจและความปลอดภัยของลูกค้าบิทคับ
คุณนรธิป ธนสารศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารความเสี่ยง บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด กล่าวว่า บิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ เป็นรายแรกของไทยที่เปิดเผย Proof of Reserve คือ กระบวนการที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถตรวจสอบว่าผู้ให้บริการรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ใช้เอาไว้ และแสดงให้เห็นว่ามีสภาพคล่องเพียงพอตามสัดส่วนของสินทรัพย์ที่ผู้ใช้จัดเก็บไว้บนแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างความมั่นใจและความโปร่งใสให้กับนักลงทุนบนบิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ ผ่านเว็บไซต์ CoinMarketCap
และในปีที่ผ่านมาพบว่าคนไทยมีความเสี่ยงจากการหลอกลวงไปมากกว่า 60,000 ล้านบาท โดยทางบิทคับมีความพยายามสร้างความปลอดภัย โดยมุ่งเน้นกระบวนการยืนยันตัว และพิสูจน์ตัวตน มีระบบตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัย ทั้งยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐอย่างเต็มที่ในการป้องกันและปราบปรามบัญชีม้าอย่างจริงจัง เพื่อขจัดปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสร้างความปลอดภัยให้กับทุกคน
ในปี 2568 นี้ บิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ ได้รับ ISO 27001 และ ISO 27701 มาตรฐานที่ยอมรับระดับสากล ช่วยให้บริษัทจัดการและปกป้องทรัพย์สินทางข้อมูลของลูกค้าให้มีความปลอดภัย และในอนาคตยังมีเป้าหมายในการเพิ่มใบรับรองมาตรฐานอื่นๆ เพิ่มเติม
ล่าสุด บิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ ได้รับรายงานรับรองมาตรฐาน SOC 2 Type 1 ซึ่งเป็นการรับรองความปลอดภัยที่ออกโดยผู้ตรวจสอบบัญชีอิสระ (CPA) ยืนยันว่าระบบความปลอดภัยของ Bitkub ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสม โดยได้รับการรับรองจาก AICPA (สถาบันผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งอเมริกา)
สำหรับการทำงานเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของการทำธุรกรรมต่างๆ ทางบริษัทฯ มีมาตรการมอนิเตอร์ธุรกรรมของลูกค้า เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ หากพบความผิดปกติจะมีแจ้งเตือนให้ลูกค้าทราบ และหยุดการเคลื่อนไหวธุรกรรมต้องสงสัยเอาไว้เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกรรมที่เกิดขึ้นนั้นปลอดภัยจริงๆ
ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ได้ปิดเพจปลอมไปมากกว่า 200 เพจ และปิดเว็บไซต์ปลอมมากกว่า 170 เว็บไซต์ รวมถึงหมายเลขโทรศัพท์ปลอมอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามต้องทางบิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ยังขอย้ำเตือนให้ทางลูกระมัดระวังเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ช่วงที่ 3 เจาะลึกกลยุทธ์พิชิตตลาดคริปโตในปี 2025
คุณสแตมป์ กันตณัฐ วุฒิธร หัวหน้าทีมนักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัล บริษัท บิทคับ แล็บส์ จํากัด นำเสนอข้อมูลเจาะลึกที่น่าสนใจด้วยมูลค่าตามราคาตลาดของของ Bitcoin ในเดือนปี 2560 มีมูลค่า 320,591 ล้านดอลลาร์ โดยมูลค่าตามราคาตลาดรวมของบริษัท 50 อันดับแรกของไทย อยู่ที่ 322,640 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในปี 2568 มูลค่าตามราคาตลาดคริปโตอยู่ที่ 1.131 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 648% ของมูลค่าตลาดบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทย 10 อันดับแรก จะเห็นได้ว่าคริปโทเคอร์เรนซีไม่ใช่สินทรัพย์ขนาดเล็กอีกต่อไป และยังทำกำไรได้ดีกว่าเหรียญ Altcoin อื่นๆ
คุณสแตมป์ กันตณัฐ ระบุว่าในปี 2568 มี 6 ประเด็นหลักที่น่าจับตามองและไม่ควรพลาด ได้แก่
1) ตลาดหมียังไม่จบลง แต่ที่ยังทรงตัวแบบนี้เป็นเพราะปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะกับการประกาศกำแพงภาษีนำเข้าต่อประเทศต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดคริปโตอย่างรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนพฤษภาคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศเลื่อนการใช้กำแพงภาษีออกไป ทำให้ตลาดคริปโตกลับมาผ่อนคลายความตรึงเครียดและกลับมาบวกอีกครั้ง
2) นับตั้งแต่มกราคม 2567 เป็นต้นมา Spot Bitcoin ETF ผ่านการอนุมัติ ทำให้กลุ่มบริษัทต่างๆ ที่ต้องการซื้อ Bitcoin อย่างเช่น ธนาคาร บริษัท นิติบุคคลต่างๆ มีโอกาสเข้าถึง Bitcoin ได้อย่างถูกกฎหมาย การเข้ามานี้ทำให้มีเม็ดเงินจากกลุ่มสถาบันไหลเข้ามามากกว่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้นมากกว่า 500% ตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมกราคม ปี 2567 ซึ่งจะเห็นได้จากกองทุน IBIT ของ BlackRock เป็นผู้ถือบิตคอยน์รายใหญ่ที่มีการถือเอาไว้มากถึง 624,7000 BTC ตามมาด้วย Fidelity ที่ถือบิตคอยน์ไว้ 293,500 BTC หากคำนวณกลุ่มสถาบันทั้งหมดที่ถือครองบิตคอยน์ผ่านกองทุน ETF จะคิดเป็น 9.936% ของจำนวนอุปทานทั้งหมดของบิตคอยน์ที่ 21 ล้านเหรียญ
3) บิตคอยน์เป็นผู้นำในการวัฏจักรนี้ทั้งในเรื่องของผลตอบแทนและประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง ซึ่งเห็นได้ในปี 2567 บิตคอยน์สร้างผลตอยแทนได้ดีแม้เป็นรองเพียงแค่ทองคำเท่านั้น โดยมีอัตราตอบแทนสูงถึง 148% ทำได้ดีกว่า Ethereum, Solana และเหรียญยอดนิยมอื่นๆ
4) สำหรับการทำ DCA และการลงทุนระยะยาว โดยมุ่งไปที่เหรียญที่มูลค่าตามราคาตลาดสูงเป็นหลัก โดยเหรียญที่มี marketcap สูงใน 10 อันดับแรก ทำผลตอบแทนที่ 148.60% แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อดูกลุ่มเหรียญเล็กที่อันดับ 201–500 เมื่อเดือนมกราคม 2021 เหรียญเหล่านี้ไม่ติดอันดับ 1,000 และบางเหรียญอาจจะหายไปจากกระดาน
5) จับตา Bitcoin, กลุ่มเหรียญที่เป็น Smart contracr และ Bluechip Defi นอกจาก Bitcoin ที่ได้รับความสนใจและมีกระแสเงินไหลเข้ามาใน Bitcoin ETF มากขึ้นแล้ว ยังพบว่า มีเหรียญในกลุ่ม smart contract ในปี 2568 ที่ยังคงทำประสิทธิภาพได้ดี เช่น ETH, SOL, ADA, AVAX, POL,TRON เป็นต้น
6) การประเมินมูลค่าสำหรับการซื้อขาย สามารถประเมินได้จาก TVL โดยกลุ่มที่มีแนวโน้มที่แข็งแกร่งคือเหรียญในกลุ่ม smart contract โดย ETH และ TRX มีสัญญาณที่ดีสามารถดึงดูดการใช้งานและนักลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้การพิจารณา ETF ของ SEC สหรัฐ จะยังมีแนวโน้มที่ดีสำหรับสำหรับ Altcoin ต่างๆ เช่น LTC, SOL, XRP, DOGE, ADA ที่อาจจะได้รับการอนุมัติในช่วงเดือนตุลาคม 2025
ช่วงที่ 4 รู้ทันโลกใหม่ การเงิน เทคโนโลยี และการลงทุนในนอนาคต
ในช่วงนี้เป็นการร่วมเสวนาโดย คุณหมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ — Co-CEO of SIX Network and Plearn, Fund Manager at 500 TukTuks and Whale Ground Funds, คุณ CK Cheong — CEO of Fastwork, คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา — Founder & Group CEO of Bitkub Capital Group Holdings, คุณแสตมป์ กันตณัฐ วุฒิธร — Digital Asset Analyst Supervisor of Bitkub Labs
คุณหมู ณัฐวุฒิ มองว่า Bitcoin สามารถทำราคาถึง 150,00 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 BTC เมื่อลองดูที่ Bitcoin dominant ที่สามารถทำได้สูงกว่า 60% และมีแนวโน้มที่น่าจับตามอง ทางด้านคุณ CK มองว่า Bitcoin เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ที่มีอย่างจำกัดและมีไม่จำกัด Bitcoin ยังเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ทั้งยังเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลได้ แตกต่างจากเงิน fiat ที่มูลค่าอาจจะลงลดเมื่อเกิดเงินเฟ้อ คุณ CK ยังมองว่า บิตคอยน์=บิตคอยน์ เสมอ
จากสถานการณ์โลกที่มีความไม่ทันคงไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมืองและทางเศรษฐกิจ มีคนมองว่า Bitcoin เป็น Digital Gold และอีกด้านหนึ่งก็มองว่า Bitcoin วิ่งตามสถานการณ์โลกและตลาดหุ้น หากเกิดว่าเศรษฐกิจตกต่ำจนตลาดหุ้นพังจะส่งผลกระทบอย่างไร คุณ CK มีมุมมองว่าในรัฐบาลต่างๆ จากทั่วโลกมีการถือตราสารหนี้สหรัฐ เป็นไปได้ยากมากๆ ที่จะเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม คุณท็อปมองว่า ทุกๆ 50 ปี จะมีการเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจทางการเมือง การจะเปลี่ยนขั้วอำนาจได้ จะต้องเกิดต้อง depression ที่ใหญ่มาก หรืออาจะเกิดสงครามโลก คุณหมูมองว่าการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจหรือตลาดหุ้นพังอาจจะต้องเกิดจากการบริหารที่ผิดพลาด อย่างเช่นในบางประเทศ สกุลเงินในประเทศมีวิกฤตค่าเงินที่ทำให้สกุลเงินในประเทศอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งตัวอย่างเช่นนี้ทำให้มองได้ว่า Bitcoin จึงเป็นทางออกหนึ่งเช่นเดียวกับทองคำที่จะสามารถรักษามูลค่าเอาไว้ได้
ในมุมมองเรื่องการทำ Bitcoin Strategic Reserve ที่สหรัฐอเมริหามีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น และแนวโน้มสำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ โดยคุณท๊อปมองว่า การเก็บสะสม Bitcoin ของรัฐบาลมาแน่นอน แม้ว่าของไทยอาจจะช้ากว่าประเทศอื่นๆ เพราะวงการการเงินของไทยจะรอความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสิงคโปรก่อนและค่อยปรับตัวตาม ในส่วนของ คุณ CK มองว่าสหรัฐอเมริกาไม่แน่ใจว่าจะมีการซื้อเพิ่มหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ขายอย่างแน่นอน เพราะ Bitcoin มีเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น สำหรับประเทศไทย คุณหมูมองว่าสามารถมี Bitcoin strategic reserve ได้ถ้าประเทศอื่นๆ มี เพราะประเทศเรามักชอบดูตัวอย่างจากประเทศอื่นๆ และคิดว่าไม่ใช้ประเทศแรกในภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงเพราะไทยอาจจะต้องรอกฎหมายคริปโทฯ ที่ดีกว่านี้ก่อน โดยสรุป คิดว่าอย่างน้อยอีก 5 ปี
สำหรับการซื้อขาย Bitcoin ของนักลงทุนรายย่อย เมื่อได้เห็นราคาขึ้นๆ ลงๆ การจะเป็น diamond hands จะต้องทำอย่างไร คุณ CK มองว่าไม่ต้องดูราคา Bitcoin ถ้าจุดประสงค์คือการ “ถือยาว” และมองว่าถ้าหากนักลงทุนขาดทุนกับ Bitcoin นั้นคือความผิดนักลงทุนล้านเปอร์เซ็นต์ พร้อมยกตัวอย่างว่าถ้าซื้อทุกช่วงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และไม่ได้ขาย เท่ากับว่าวันนี้ “กําไร” และบอกว่าถ้าถือระยะยาวจะไม่มีวันแพ้ บวกกับการเปรียบเทียบกับ ETH ว่าอาจไม่ได้ตาม BTC เพราะ ETH ไม่ใช่ BTC เพราะจุดประสงค์ในการแก้ปัญหาต่างกัน BTC = Store of Value, ETH = อยากเป็น Backbone ของ Denctralized Applications
ในอนาคตคิดว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิม (tradtional finance) จะขึ้นไปอยู่บน Web3 คิดว่าสามรถสร้าง mass adoption ได้ไหม คุณท็อปมองว่า การเกิด adoption อาจไม่ใช่เร็วๆนี้ แต่ในอนาคตอะไรที่ tokenize ได้อาจถูก tokenize ทั้งหมด มูลค่าและระบบการเงินจะอยู่ในรูปแบบ digital token เพราะแม้แต่รัฐบาลยังออก G-token แต่ในระยะสั้น real world asset อาจไม่ค่อยมีสภาพคล่องเท่ากับ used case อื่นๆ ทางด้านคุณหมู มีมุมมองว่าจะต้องดูมูลค่าของโปรเจกต์ เช่น โปรเจกต์ AI และมองว่ามันคือ bubble ถ้าหากอยู่ใน bubble เหล่านี้ยังไงก็ fallfront และ อย่าเสียโอกาสในการอยู่ใน bubble เหมือนกับ E-Commerce ช่วงแรกที่มีการระดมทุน เช่น shoppee lazada แค่ใน bubble นั้นจะเลือกฝั่งไหนเท่านั้นเอง แต่ดูภาพรวมยังไง utilitiy เหล่านี้ก็มีประโยชน์ แต่อาจต้องใช้เวลาถ้าพูดถึงในบริบทของประเทศไทย
เมื่อพูดถึงคริปโทเคอร์เรนซี, Blockchain, Web3 มีมุมมองเรื่อง used case มีเรื่องไหนบ้างที่น่าจับตามองที่สุดสำหรับอนาคต คุณท็อปมองว่าโลกคริปโต จะเป็นสกุลเงินของ AI เพราะ AI คงคุยกับ AI เอง และไม่สามรถ transfer แบบเงินกระดาษได้ ต้องใช้ programmable money ในการ incentivize และการขับเคลื่อน AI workforce ในอนาคต ถ้าหาก AI จะเป็น operating system ของทุกวงการจึงจําเป็นที่จะต้องมี การเรื่องมือที่ดี ต้องมี programmable fucntion ของเงินซึ่งก็คือคริปโต และพวก web3 หรือ internet of thing จะมาเป็น package พร้อมๆกัน จะไม่มีตัวไหนโดดมา
คุณ CK เสนอว่าเราต้องเข้าใจก่อนว่า Web3 คืออะไร สิ่งที่จะเกิดแน่ๆ คือ alternity บนบล็อกเชน เช่น Worldcoin ที่เอาหน้าของเราไปบนบล็อกเชนพร้อมกับยกตัวอย่างที่เสียงคุณ CK เอาไปใช้ในการขายหนังสือ ทั้งที่ตัวเองยังไม่มีหนังสือมาขาย สรุปได้ว่าในอนาคตทุกคนต้องเป็นเจ้าของ IP ของตนเองให้ได้ เช่น หน้า เสียง เพราะอนาคตอาจแยกไม่ออกว่าอันไหนคือ AI หรือไม่ AI
คุณหมู ระบุว่าเรื่องแรกๆ อาจจะเกี่ยวข้องกับระบบการเงินเพราะมันสอดคล้องกับความเชื่อ โดย Used Case ที่ง่ายในคริปโต คือการไม่ต้องสร้างความเชื่อใจใครเลย จึงทําให้ trust คือ fundamentals และพอคน trust พวก utility ต่างๆ ค่อยตามมา เช่น AI รถยนต์ ต่างๆ
สำหรับคําแนะนําสําหรับมือใหม่ที่พึ่งเข้ามาในโลกคริปโต Bitcoin ในช่วงนี้ คุณ CK บอกว่า อย่าไปแคร์เรื่อง cycle มากนัก และถ้าหากลงทุนต้องลงทุนด้วยวิธีที่ถูกต้อง mindset ที่ถูกต้อง ลงทุนด้วย fundamentals สรุปได้ว่าการถือยาวเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่า เช่น คนถือ Bitcoin จะรวยมากกว่าคนทื่เทรด Bitcoin และลงทุนตามมูลค่าไม่ใช่ราคา ทางด้านคุณท็อปบอกว่า อย่าเอาเงินร้อนไปลงทุน หรือต้องไปกู้ยืมมาลงทุน ควรใช้เงินเย็นไปลงทุน ไม่งั้นอาจเกิด panic sell และต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี บวกกับอย่าไปเปรียบเทียบ เพราะความพร้อมแต่ละคนต่างกัน ควรลงทุนด้วย pace ของตัวเอง
ทางด้านคุณหมู อยากให้คนที่เข้ามาใหม่มองในระยะยาว ต้อง time horizion ที่นานกว่านี้ เพราะมีเส้นบางๆ ระหว่างการลงทุนกับพนัน เช่น การลงทุนใน Bitcoin ถ้าขาดทุนคือการติดดอย แต่ถ้ามี strategy อาจหลีกเลี่ยงการติดดอยได้โดยการ DCA ไม่ควรคิดเรื่อง quick win แต่ก็ไม้ได้หมายความว่าเป็น concept ที่ผิดแต่ควรเป็น portion ที่เล็กๆ
ในยุคที่คนสนในเรื่องราวในโซเชียลมีเดีย การประสบความสําเร็จเรื่องการเงินกับสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญและจะต้องทำอย่างไร คุณหมู มองว่า การบริหารเวลาสําคัญ เพราะถ้าหากมีเงินเยอะ แต่สุขภาพไม่ดี ก็ไม่ดี หรือ ถ้าหากมีสุขภาพ ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีก็ไม่สามารถไปทํางานหาเงินได้แบบมีคุณภาพได้ ส่วนคุณ CK มองว่าแยก นักลงทุน กับ นักธุรกิจ แล้วมองว่าเป็นนักลงทุนง่ายกว่า เพราะถ้าหากชอบเรื่อง healthcare ก็ลงทุนในโรงพยาบาลที่มีรากฐานอยู่แล้ว เพราะถ้าหากเปิดธุรกิจต้องมั่นใจว่าธุรกิจจะแตกต่างกับธุรกิจที่มีอยู่ในตลาด และคุณท็อปก็มีมุมมองที่คล้ายกันคือ หากต้องประสบความสำเร็จทางด้านสุขภาพและธุรกิต ต้องมีความตั้งใจจริงๆ และต้องยอมรับถึง price to pay เพื่อ achieve สิ่งนั้น
— — — — — — — — — — — — — — — — — —

หากคุณยังเป็นมือใหม่ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในบทความ “แหล่งความรู้ มือใหม่หัดเทรดคริปโต เริ่มต้นที่นี่” แล้วมาเริ่มต้นเทรดได้วันนี้ที่ Bitkub Exchange → คลิกดูวิธีพร้อมสมัครเลย
— — — — — — — — — — — — — — — — — —
คำเตือน
-คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
-ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต
-ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เนื้อหาข้างต้นเป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาโดยใช้ข้อมูลในอดีตและเครื่องมือวิเคราะห์ อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
Source:
Medium