บทความ

Layer 2 คืออะไร สำคัญกับบล็อกเชนมากแค่ไหน?

image

เมื่อบล็อกเชนกับคริปโทเคอร์เรนซีเริ่มเป็นที่รู้จักและถูกใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อจำกัดของบล็อกเชนก็เริ่มปรากฎออกมาให้เห็น โดยเฉพาะบล็อกเชนสาธารณะอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum ที่ปัจจุบันกำลังประสบปัญหาการทำธุรกรรมที่ล่าช้าและมีค่าธรรมเนียมแพงขึ้น นักพัฒนาจึงพยายามคิดค้นวิธีแก้ปัญหาขึ้นมา และหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมก็คือการสร้างบล็อกเชนที่เรียกว่า Layer 2 นั่นเอง แล้ว Layer 2 คืออะไร Bitkub Blog จะมาสรุปให้ครับ

Layer 2 คืออะไร?

Layer 2 เป็นเครือข่ายบล็อกเชนย่อยที่พัฒนาขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระให้กับ Layer 1 ผ่านการสนับสนุนให้ผู้คนหันมาทำธุรกรรมบน Layer 2 โดยเมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้นบน Layer 2 เครือข่ายก็จะนำข้อมูลธุรกรรมมาสรุปและมัดรวมเป็นข้อมูลชุดเดียว จากนั้นก็จะส่งข้อมูลที่ได้รับการสรุปแล้วกลับไปบันทึกบน Layer 1

วิธีนี้ทำให้การทำธุรกรรมบน Layer 2 มีความเร็วที่สูงกว่า ขณะที่ค่าธรรมเนียมก็ต่ำกว่าการทำธุรกรรมบน Layer 1 อย่างมีนัยสำคัญ

ความสำคัญของ Layer 2

เนื่องจากปัจจุบัน บล็อกเชนสาธารณะอย่าง Ethereum กำลังประสบปัญหาความล่าช้าและค่าธรรมเนียมสูง เนื่องจากเครือข่ายไม่สามารถขยายขนาดตามความต้องการของผู้ใช้จำนวนมากไม่ทัน ทำให้เกิดปัญหาตามมาคือธุรกรรมล่าช้าและค่าธรรมเนียมสูง จึงเกิดแนวคิดสร้าง Layer 2 เพื่อลดภาระของ Layer 1

image

สมมติว่า Layer 1 คือถนนสายหลักที่มีการจราจรหนาแน่นเคลื่อนที่ได้ช้า Layer 2 ก็คือทางด่วนที่สร้างขึ้นบนถนนสายหลัก ทำให้สามารถแบ่งการจราจรบางส่วนขึ้นมาวิ่งบนทางด่วนได้ เป็นการแบ่งเบาภาระให้ถนนสายหลักหรือ Layer 1 นั่นเอง

ประโยชน์ของ Layer 2

1.เพิ่มความสามารถในการปรับขนาด
Layer 2 สามารถเสริมประสิทธิภาพของบล็อกเชนได้โดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยและการกระจายอำนาจของบล็อกเชน ทำให้บล็อกเชนมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และเปิดโอกาสสำหรับการพัฒนาการใช้งานรูปแบบใหม่ ๆ

2.ลดต้นทุนการทำธุรกรรมลงได้
การทำธุรกรรมผ่าน Layer 2 มักจะมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ใช้ในวงกว้างสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนได้มากขึ้น สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งระบบการชำระเงินแบบดั้งเดิมอาจเข้าถึงได้น้อยกว่าหรือมีราคาแพงกว่า

อย่างไรก็ตาม Layer 2 ก็ยังคงมีความท้าทายอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นคือการดำเนินการที่ซับซ้อนและอาจต้องใช้ทรัพยากรในการพัฒนาที่ค่อนข้างมาก และยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่าง Layer 2 ด้วยกันเอง

แม้จะยังคงมีความท้าทาย แต่ Layer 2 ก็เป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับอนาคตของเทคโนโลยีบล็อกเชน อุตสาหกรรมนี้ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นไปได้ที่เราจะเห็น Layer 2 ที่มาพร้อมกับความสามารถใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอีกในอนาคต

ตัวอย่าง Layer 2 ที่น่าสนใจ

1.MATIC (Polygon)

MATIC หรือ Polygon เป็นตัวช่วยขยายขนาดโครงสร้าง (Scale) หรือ Layer-2 ที่ช่วยให้ Ethereum สามารถรองรับฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลายยิ่งขึ้น รวมทั้งลดค่าธรรมเนียม และเพิ่มความเร็วในการทำงานของเครือข่าย

2.IMX (Immutable X)

IMX หรือ Immutable X คือเครือข่าย Layer 2 ของ Ethereum และยังถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการโอนสินทรัพย์ประเภท NFT โดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยน NFT ผ่านเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และมีค่า Gas fee สำหรับโอน NFT ในระดับต่ำมาก

Immutable X ยังเป็นส่วนสำคัญสำหรับโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับ NFT บน Ethereum มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกม Gods Unchained, Guild of Guardians, Illuvium รวมถึงตลาด NFT อย่าง Opensea เป็นต้น

3.LRC (Loopring)

Loopring คือ Layer 2 ที่ใช้เทคโนโลยี zkRollup โดยเป็นเครือข่ายที่มุ่งเน้นไปที่การส่งต่อมูลค่าและแลกเปลี่ยนแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Exchange) และออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพทั้งในด้านความปลอดภัยกับความเร็วที่สูง พร้อมรักษาค่าธรรมเนียมให้อยู่ในระดับต่ำเสมอ

4.OP (Optimism)

Optimism คือเครือข่ายบล็อกเชน Layer 2 ของ Ethereum ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนที่สุดเครือข่ายหนึ่ง โดยใช้ระบบที่เรียกว่า Optimistic Rollups (ORs) ในการยืนยันธุรกรรม มีหลักการทำงานคือ ทั้งเครือข่ายจะถือว่าทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายเป็นธุรกรรมที่ถูกต้องทั้งหมด เว้นแต่โหนดในเครือข่ายจะแจ้งธุรกรรมที่น่าสงสัยเข้ามา จึงค่อยทำการตรวจสอบ

สรุป

Layer 2 เป็นอีกหนึ่งการพัฒนาที่สำคัญในโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชน ด้วยการสร้างต่อยอดจากบล็อกเชน Layer 1 ที่มีอยู่ ทำให้ Layer 2 สามารถเพิ่มการปรับขนาด ประสิทธิภาพ และความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนได้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ยังคงรักษาหลักการของความปลอดภัยและการกระจายอำนาจของบล็อกเชนหลักเอาไว้

อ้างอิง Ethereum, Blockspaces

_________________________________________

บทความ Bitkub Blog ที่คุณอาจสนใจ
รู้จัก Ethereum คริปโทที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
รู้จัก MATIC หนึ่งใน Layer 2 ของ Ethereum ที่มาแรงที่สุดตอนนี้
OP หรือ Optimism เหรียญที่ช่วยให้ Ethereum ปังยิ่งกว่าเดิม
รู้จัก Zero-Knowledge Proofs ความโปร่งใสที่มาพร้อมกับความเป็นส่วนตัว

_________________________________________

คำเตือน:

*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

**สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

***ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต
_________________________________________

Layer 2: What Is It and How Important Is It for Blockchain?

As cryptocurrencies like Bitcoin and Ethereum have become more widely known and used, the limitations of blockchain technology have become increasingly apparent. Public blockchains, such as Bitcoin and Ethereum, have faced issues like slow transaction times and high fees. Developers have been working on solutions, and one popular approach has been the creation of what’s called Layer 2 solutions.

What is Layer 2?

Layer 2 is a sub-network developed within the blockchain ecosystem to alleviate the burden on Layer 1. It achieves this by encouraging people to conduct transactions on Layer 2. When a transaction occurs on Layer 2, the network consolidates and summarizes the transaction data into a single set of information. This summarized data is then sent back to Layer 1 for recording.

This method allows transactions on Layer 2 to be much faster, while transaction fees are lower compared to transactions on Layer 1. This distinction is significant.

The Importance of Layer 2

Currently, public blockchains like Ethereum are facing issues of slow transactions and high fees. This is because the networks cannot scale to meet the demands of a large number of users, leading to delays in transactions and increased fees. To address this, the concept of creating Layer 2 has emerged to alleviate the burden on Layer 1.

Imagine Layer 1 as a main road with heavy traffic, moving slowly due to congestion. Layer 2, in this analogy, is like an express lane built on top of the main road. This allows a portion of the traffic to be diverted to the express lane, lightening the load on the main road or Layer 1.

Benefits of Layer 2

1.Increased Scalability: Layer 2 enhances the efficiency of blockchain without compromising its security and decentralization. This makes blockchain more competitive and opens opportunities for the development of new applications.

2.Reduced Transaction Costs: Transactions conducted through Layer 2 often have lower fees, allowing a wider range of users, especially those in developing countries, to access blockchain technology. This is particularly crucial as traditional payment systems might be less accessible or more costly.

However, Layer 2 still faces challenges. One of them is the complexity of implementation, often requiring significant development resources. There are also concerns about the interoperability between different Layer 2 solutions.

Despite these challenges, Layer 2 represents an exciting opportunity for the future of blockchain technology. The industry continues to evolve, and it’s possible that we’ll see new and innovative Layer 2 solutions emerging in the future.

Interesting Examples of Layer 2

1.MATIC (Polygon)
MATIC, also known as Polygon, acts as a scalability solution or Layer 2 for Ethereum. It enhances Ethereum’s functionality and reduces transaction fees while increasing the network’s speed. It enables Ethereum to handle a variety of functions more efficiently.

2.IMX (Immutable X)

IMX, or Immutable X, is a Layer 2 network for Ethereum specifically designed to support the transfer of NFT assets. It allows users to exchange NFTs swiftly and securely over the network, with significantly lower gas fees for NFT transfers. Immutable X is crucial for various NFT projects on Ethereum, including games like Gods Unchained, Guild of Guardians, Illuvium, and marketplaces like Opensea.

3.LRC (Loopring)

Loopring is a Layer 2 solution utilizing zkRollup technology. It focuses on value transfers and decentralized exchanges, emphasizing both high security and speed. Loopring operates as a decentralized exchange and maintains consistently low transaction fees.

4.OP (Optimism)
Optimism is a Layer 2 blockchain network for Ethereum designed to be user-friendly and sustainably scalable. It employs a system called Optimistic Rollups (ORs) to confirm transactions. According to this approach, the network assumes all transactions on it are valid unless nodes specifically challenge a transaction. This method ensures efficient verification of transactions while maintaining security.

Summary

Layer 2 represents a significant advancement in the world of blockchain technology. By building upon the existing Layer 1 blockchain, Layer 2 enables enhanced scalability, efficiency, and accessibility to blockchain technology. Importantly, it achieves these improvements while preserving the fundamental principles of security and decentralization inherent to the core blockchain.

Reference Ethereum, Blockspaces

_________________________________________

— Cryptocurrency and digital tokens involve high risks; investors may lose all investment money and should study information carefully and make investments according to their own risk profile.

— Digital assets involve risks; investors should study information carefully and make investments according to their own risk profile.

— Returns/Past Performance does not guarantee future returns/performance.

ที่มา:

Medium

ผู้เขียน: Waranyu Suknantee | 03 ต.ค. 66 | อ่าน: 5,572
บทความล่าสุด