บทความ
ประชาชน ฮ่องกงเริ่มแลกเปลี่ยนเงินและสินทรัพย์เป็น Cryptocurrency!
จากการประท้วงที่ฮ่องกงประชาชนเริ่มขนย้ายเงินและทรัพย์สินของตัวเอง เข้าสู่โลก Cryptocurrency
เท้าความชนวนเหตุการประท้วงที่ยืดเยื้อในฮ่องกง
เดิมทีฮ่องกงนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรจากสัญญาเช่าเกาะ 99 ปี ฮ่องกง โดยในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นฮ่องกงถูกปกครองแบบเป็นอาณานิคมหนึ่งของอังกฤษ ไม่มีการเลือกตั้งผู้นำมาตั้งแต่ปี 1982 และจะหมดสัญญาลงในปี 1997
ตลอดช่วงระยะเวลาที่ฮ่องกงอยู่ในการปกครองของสหราชอาณาจักรนั้น ทางอังกฤษได้พยายามจัดให้มีการกระจายอำนาจเป็นระยะๆ เช่น การจัดเลือกตั้งสมาชิกสภาในสภาพเทศบาล การพยายามจัดให้มีการเลือกตั้งและคืนอำนาจให้คนจีนในเกาะฮ่องกงบางส่วน แต่ก็โดนจีนและคนร่วมชาติบางกลุ่มแย้ง เนื่องจากจีนไม่ต้องการฮ่องกงมีความเคยชินกับการปกครองตนเองและเป็นเอกเทศจากแผ่นดินแม่มากเกินไป
เมื่อใกล้ถึงเวลาหมดสัญญาในการปกครอง อังกฤษได้กลัวการถูกทวงคืนฮ่องกงโดยจีนประกอบกับอำนาจในมือของตนเริ่มลดลง สหราชอาณาจักรได้ทำการทิ้งบอมบ์ก้อนสุดท้ายที่ทำให้ฮ่องกงและจีนปั่นป่วนมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือ “จัดให้มีการเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์” ในปี 1995 ก่อนหมดสัญญา 2 ปี ทั้งที่ผ่านมาร้อยกว่าปีนั้นอังกฤษไม่เคยจัดให้มีการเลือกตั้งหรือคัดสรรผู้นำจากระบอบประชาธิปไตยในฮ่องกงมาก่อน
เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนการเผยให้คนฮ่องกงได้รู้จักกับคำว่าประชาธิปไตยและอำนาจของประชาชนในมือเป็นครั้งแรก รวมถึงเริ่มเกิดความเคลือบแคลงใจและมีข้อกังขาในระบอบการปกครองของจีนเสมอมา
ฮ่องกงการเป็นเขตการปกครองพิเศษ “1 ประเทศ 2 ระบบ” หลังจากอังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีน โดยสัญญา 1 ประเทศ 2 ระบบจะสิ้นสุดในปี 2047 ฮ่องกงมีการเรียกร้องขอให้ฮ่องกงเป็นเขตปกครองพิเศษที่สามารถเลือกผู้นำประเทศโดยการเลือกตั้งภายในประเทศได้ ไม่จำเป็นต้องได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลางของจีนเท่านั้น — แต่ก็ได้รับการปฏิเสธตลอดมา เป็นชนวนเหตุให้มีการประท้วงในฮ่องกงแทบทุกปี แต่ก็ไม่รุนแรงมากนั้น
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 ได้เกิดโศกขนาฏกรรมที่คู่รักชาวฮ่องกงได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ไต้หวัน แต่ขากลับมีเพียงแค่ฝ่ายชายเท่านั้นที่กลับมาเนื่องจากเขาได้ฆาตรกรรมแฟนสาวและเอาศพยัดใส่กระเป๋าเดินทางไปทิ้ง
เหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวดังมาก ไต้หวันได้ทำการติดต่อมายังฮ่องกงเพื่อขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่ติดที่ระหว่างฮ่องกงกับไต้หวันนั้นไม่เคยมีกฏหมายในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน มาก่อน
ฮ่องกงได้ทำการร่างกฏหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างฮ่องกงกับประเทศที่ไม่เคยทำข้อตกลงร่วมกันมาก่อนขึ้นมา แต่นั่นก็มีการรวม “จีน” อยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความวิตกกังวลให้กับคนฮ่องกงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจีนอาจใช้ช่องทางนี้ในการเรียกร้องให้ส่งตัวผู้ร้ายการเมืองที่หลบหนีออกมาจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งอาศัยอยู่ในฮ่องกงเป็นจำนวนมาก
เริ่มมีมีการเดินขบวนในฮ่องกง “ร่างรัฐบัญญัติกฎหมายผู้หนีคดีและความช่วยเหลือร่วมกันทางกฎหมายในคดีอาญา ค.ศ. 2019” (Fugitive Offenders and Mutual Legal Assistance in Criminal Matters Legislation (Amendment) Bill 2019)
ทางฮ่องกงได้มีการประกาศ “เลื่อนการพิจารณา” บัญญัตินี้ออกไปก่อน แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ผู้คนยังคงลุกฮือและการประท้วงมีท่าทีจะทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ จากตอนนี้ที่ประท้วงเพื่อยกเลิกข้อกฏหมาย ดูเหมือนทุกอย่างจะทวีความรุนแรงเป็น “การเรียกร้องให้ฮ่องกงปลดแอกออกจากจีนโดยสมบูรณ์” เนื่องด้วยคนฮ่องกงไม่มั่นใจในความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล รวมไปถึงไม่ต้องการให้ฮ่องกงมีการปกครองโดยอำนาจเบ็ดเสร็จแบบจีนแผ่นดินใหญ่
สืบเนื่องจากการประท้วงที่ยืดเยื้อของฮ่องกง หนึ่งในเหตุการณ์การประท้วงที่สืบเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบสิ้นในเร็ววัน จากการประท้วงเรื่องกฏหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่คนฮ่องกงต่างวิตกกังวลว่าจะส่งผลให้อนาคตมีนักโทษการเมืองถูกจับตัวส่งกลับไปจีน ลามมาจนถึงการเรียกร้องให้จีนปล่อยให้ฮ่องกงเป็นรัฐอิสระที่สามารถปกครองตนเองได้ในปัจจุบัน
นับวันข่าวการประท้วงนี้เรียกได้ว่าทวีความรุนแรงมากขึ้นทีละนิด การท่องเที่ยวแทบจะเรียกได้ว่าหยุดชะงัก ผู้คนต่างยกเลิกเที่ยวบินเพื่อความปลอดภัยในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน สำหรับสถานการณ์ในตุลาคมนี้เรียกได้ว่าฮ่องกงเริ่มเข้าสู่การชัตดาวน์ตนเองจากโลกภายนอกเข้าไปทุกขณะ ทั้งการหยุดชะงักของเศรษฐกิจ ร้านค้าที่ปิดตัวเพราะไม่สามารถลำเลียงสินค้าเข้ามาเติมในสต็อกได้ โรงแรมที่ซบเซาเพราะนักท่องเที่ยวหนีหาย การคมนาคมที่แทบจะเรียกได้ว่าหยุดชะงักหลังจากที่รถไฟฟ้าทุกสายในฮ่องกงประกาศหยุดให้บริการในภาวะฉุกเฉิน แต่หนักที่สุดคงจะเป็นการกดเงินสดไม่ได้เนื่องจากตู้ ATM ทั่วฮ่องกงขาดพนักงานบริการที่จะมาเติมเงินสดเข้าตู้
รวมทั้งธนาคารใหญ่ๆ สาขาต่างๆ ของฮ่องกง อาทิ ธนาคาร Bank of China, Bank of East Asia และ Industrial and Commercial Bank of China ต่างพากันหยุดให้บริการ แถมคนรุ่นใหม่ที่พากันมาชุมนุมต่างก็วิตกกังวลในความเป็นส่วนตัวของการทำธุรกรรมของตนในระหว่างประท้วงว่าจะโดนติดตามโดยจีนแผ่นดินใหญ่จากรูปแบบการชำระเงินที่ต้องมีการส่งข้อมูลเข้าส่วนกลาง ทำให้บริการทางการเงินของฮ่องกงเริ่มดิ่งสู้ก้นเหวอย่างแท้จริง
แต่ดูเหมือนการใช้จ่ายเงินที่ดูจะหยุดชะงักนี้ ราคาของ Bitcoin และ Cryptocurrency สกุลต่างๆ กลับพุ่งขึ้นสูงอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากผู้คนบางส่วนเริ่มทยอยหาทางหนีทีไล่ในการโอนย้ายสินทรัพย์ของตัวเองออกจากเงื้อมมือและการตรวจสอบจากภาครัฐ รวมไปถึงเพื่อการใช้จ่ายที่มีอิสระมากขึ้น
ดูได้จากยอดเงินหมุนเวียนที่ซื้อขาย Bitcoin จากเว็บ LocalBitcoins ในพื้นที่ฮ่องกงเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น พุ่งขึ้นสูงถึง 12 ล้านฮ่องกงดอลล่าร์
รวมไปถึงเว็บเทรดแบบ Local ของฮ่องกง tidebit ในช่วงวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมานั้น
ราคา BTC/USD ได้พุ่งขึ้นไปสูงถึง 12,492 USD
ขณะที่ตลาดอื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นราคาเฉลี่ยของตลาดทั่วโลกนั้นอยุ่ที่ประมาณ
10,421 USD เท่านั้น (ภาพจาก coinmarketcap ในช่วงวันเดียวกัน)
เราจะเห็นได้ชัดจากม็อปที่เรียกได้ว่าล้ำยุคที่สุดในโลกเหตุการณ์นี้ได้มีการมองการไกลและใช้ Cryptocurrency เป็นอีกช่องทางในการเก็บสินทรัพย์แบบใหม่แทนเงินตราในระบอบเก่าเพื่อให้หลุดพ้นจากการควมคุมโดยตัวกลางเช่นรัฐบาลจีนจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นการปรับตัวโดยนำเทคโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่ต้องใช้แสตนด์อินเลยทีเดียว และจากข่าวการประท้วงที่นับวันท่าทียิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาวทิศทางและแนวโน้มของวงการเงินดิจิทัลในฮ่องกงจะยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องไปตลอดหรือไม่ก็ต้องคอยจับตาดู
หากท่านต้องการมีเหรียญดิจิทัลเหรียญแรกไว้ในครอบครอง สามารถศึกษาอ่านจากบทความดีๆ ของ Bitkub ได้ทางเพจ Bitkub รวมถึงสามารถสมัครสมาชิกและเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของสินทรัพย์แห่งโลกอนาคตได้ที่ https://www.bitkub.com/
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1676055
https://www.buybitcoinworldwide.com/hong-kong/
https://www.posttoday.com/world/597705
ที่มา:
Medium