บทความ
รู้จัก 9 เหรียญคริปโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุด
ความยั่งยืน (Sustainability) คือหนึ่งในเทรนด์เศรษฐกิจที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่การประชุม World Economic Forum 2023 เนื่องจากผู้คนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่เว้นแม้แต่โลกของการลงทุนที่ผู้ประกอบกิจการที่มีนโยบายเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมักจะได้รับการชื่มชมมากขึ้น
สำหรับวงการคริปโทเคอร์เรนซีเอง แม้ก่อนหน้านี้จะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้พลังงาน แต่ก็มีโปรเจกต์บล็อกเชนและคริปโตที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะมีเหรียญอะไรบ้าง Bitkub Blog จะมาสรุปให้ในบทความนี้ครับ
1. Algorand
Algorand หรือเหรียญ ALGO นับเป็นเหรียญที่ออกตัวเรื่องความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้โดดเด่นที่สุดก็ว่าได้ โดยเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2022 ทาง Algorand Foundation ได้เช่าป้ายโฆษณาบริเวณไทม์สแควร์ของนครนิวยอร์กกว่า 20 ป้าย เพื่อประกาศว่าพวกเขาเป็น Carbon-negative blockchain หรือบล็อกเชนที่มีอัตราการปล่อยคาร์บอนเป็นลบ
ทางด้านตัวเลขเองก็สามารถเรียกได้ว่า Algorand ไม่ได้โฆษณาเกินจริงแต่อย่างใด เพราะเครือข่ายมีการปล่อยก๊าซ CO2 เพียง 0.0000004 kg ต่อหนึ่งธุรกรรมเท่านั้น หมายความว่า Algorand ใช้พลังงานเทียบเท่ากับครัวเรือน 7 หลังต่อปีเท่านั้น
2.Ethereum
แม้ก่อนหน้านี้เหรียญที่มีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับ 2 อย่าง Ethereum หรือ ETH จะใช้ระบบฉันทามติแบบ Proof-of-Work เหมือนกับ Bitcoin ที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล จึงมักตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง แต่ล่าสุด Ethereum ได้มีการอัปเกรด The Merge ไปในปี 2022 ที่เปลี่ยนผ่านไปใช้ระบบ Proof-of-Stake ทำให้ Ethereum สามารถลดการใช้พลังงานลงไปได้ถึง 99% กลายเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุดในปัจจุบัน
3.Cardano
Cardano หรือเหรียญ ADA เป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่ใช้ระบบฉันทามติแบบ Proof-of-Stake เป็นเครือข่ายแรก ๆ และยังมีมูลค่าตลาดสูงติดอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย แถมยังมีตัวอย่างการใช้งานจริงเป็นการจับมือกับรัฐบาลของประเทศเอธิโอเปียเพื่อใช้บล็อกเชนกับภาคการศึกษาในการจัดเก็บประวัติการเรียนของนักเรียน โดยการใช้ระบบ Proof-of-Stake ทำให้ Cardano มีการใช้พลังงานเพียง 0.01% เมื่อเทียบกับการใช้พลังงานของเครือข่าย Bitcoin เท่านั้น
4.Polkadot
ตามรายงานจาก Bloomberg เครือข่าย Polkadot หรือ DOT เป็นเครือข่ายประเภท Proof-of-Stake ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยที่สุดในกลุ่ม 6 บล็อกเชน Proof-of-Stake ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาด แถม Polkadot ยังมาพร้อมกับภารกิจที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับบล็อกเชนอื่น ๆ ให้สามารถเข้ามาสร้างเครือข่ายของตัวเองขึ้นบน Polkadot เพื่อการทำงานที่เชื่อมต่อกันมากยิ่งขึ้น นั่นจึงทำให้ Polkadot มีความโดดเด่นทั้งในด้านเป้าหมายและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
5.Solana
Solana หรือ SOL คือบล็อกเชนที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเร็วในการยืนยันธุรกรรมที่สูงที่สุดในปัจจุบัน โดยการใช้ระบบฉันทามติลูกผสมระหว่าง Proof-of-Stake กับระบบที่พัฒนาขึ้นเองอย่าง Proof-of-History และในปี 2021 ทาง Solana Foundation ยังได้ประกาศว่าเครือข่ายของพวกเขาสามารถบรรลุ Carbon neutrality หรือความเป็นกลางทางคาร์บอนได้แล้วอีกด้วย
6.NEAR
เหรียญ NEAR Protocol เป็นอีกเครือข่ายที่ใช้ระบบ Proof-of-Stake ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับนักพัฒนามากที่สุดเครือข่ายหนึ่ง โดยมีชุดเครื่องมือต่าง ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อนักพัฒนา Smart contract โดยเฉพาะ ซึ่ง NEAR Protocol เคยประกาศว่าพวกเขาเป็นเครือข่ายที่เป็น Climate Neutral มีการปล่อยก๊าซ CO2 เพียง 174 ตันต่อปีเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าการปล่อยก๊าซ CO2 ของเครือข่าย Bitcoin ถึง 200,000 เท่า
7.Tezos
จากการประชุม TezDev Conference เมื่อไม่นานมานี้ ทางทีมผู้พัฒนาของ Tezos หรือ XTZ ได้ประกาศพวกเขามีแผนที่จะทำให้เครือข่าย Tezos สามารถประมวลธุรกรรมได้มากกว่า 1 ล้านธุรกรรมต่อวินาที (TPS) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และแน่นอนว่าการพัฒนาดังกล่าวจะให้ความสำคัญความยั่งยืนด้วย โดย Tezos เป็นบล็อกเชนที่ใช้พลังงานในการรันเครือข่ายเทียบเท่ากับอัตราการใช้ไฟฟ้าต่อปีของคน 17 คนเท่านั้น
8.Hedera Hashgraph
Hedera Hashgraph หรือ HBAR มีจุดเด่นที่การใช้โครงสร้างแบบ DAG (Directed acyclic graph) แทนที่จะเป็นบล็อกเชนเหมือนเครือข่ายอื่น ๆ ในรายชื่อนี้ ทำให้ Hedera ไม่จำเป็นต้องรอให้ธุรกรรมก่อนหน้าได้รับการยืนยันก่อนเหมือนกับบล็อกเชน แต่สามารถประมวลผลธุรกรรมได้แบบคู่ขนานไปพร้อม ๆ กัน ความเร็วของ Hedera จึงสามารถแข่งขันกับระบบธุรกรรมของ VISA ได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ ผู้สร้าง Hedera ยังใส่ใจกับเรื่องของความยั่งยืนด้วยการใช้ซอฟต์แวร์ติดตามการใช้พลังงานอย่าง Power Transition ในเครือข่ายด้วย
9.Ripple
Ripple หรือ XRP เป็นเหรียญที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการโอนมูลค่าที่มีต้นทุนถูกกว่า เร็วกว่า ปลอดภัยกว่า และที่สำคัญคือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย Ripple ใช้ระบบฉันทามติแบบเฉพาะของตัวเอง ทำให้มีอัตราการใข้พลังงานที่ต่ำเพียง 0.0079 kWh (กิโลวัตต์) ต่อธุรกรรม และยังมีเป้าหมายที่จะเป็น Carbon-neutral ให้ได้ภายในปี 2030 อีกด้วย
อ้างอิง The Motley Fool, CryptoNews, Analytics Insight, Bloomberg
_________________________________________
คำเตือน:
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
***ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต
_________________________________________
ติดตามบทความที่น่าสนใจได้ที่นี่:
Blockchain คืออะไร เป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกหรือเปล่า?
รู้จัก The Merge การรวมร่างที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์ Ethereum
Proof of Work vs. Proof of Stake เทียบให้เห็นภาพกันชัด ๆ
ที่มา:
Medium