บทความ
คุณท็อป จิรายุส CEO กลุ่ม Bitkub ถูกเลือกให้เป็นกรรมการสมาคมฟินเท็คแห่งประเทศไทย
วงการ Cryptocurrency หรือ Blockchain กำลังเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาครัฐหรือภาคเอกชนก็เริ่มที่จะเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ หรือหันมาสนใจในเรื่องนี้มากขึ้นแล้ว
ล่าสุดคุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือผู้ร่วมก่อตั้งเว็บเทรดคริปโตสัญชาติไทย Bitkub ถูกเลือกให้เป็นกรรมการสมาคมฟินเท็คแห่งประเทศไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จุดเริ่มต้นเข้ามาเป็นกรรมการ
ทาง Siam Blockchain ได้ทำการสัมภาษณ์คุณท็อปในเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าไปเป็นกรรมการ ฟินเท็ค โดยคุณท็อปได้ตอบว่า:
“ผมเป็นสมาชิกกับทางสมาคมไทยฟินเท็คมาสองปีแล้ว และปีนี้ผมก็ถูกรับเชิญให้เป็นคณะกรรมการของสมาคมฟินเท็คครับ”
และการที่คุณท็อปเข้าไปเป็นกรรมการ จะส่งผลต่อทางสมาคมอย่างไร และคุณท็อปจะทำอะไรบ้างครับ? คุณท็อปได้ให้คำตอบว่า:
“บทบาทสำคัญเลยก็คือการจัดตั้ง National Fintech Sandbox เพื่อเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรมของฟินเท็ค และเป็นศูนย์บ่มเพาะสำหรับผู้เริ่มต้นฟินเท็ค
และช่วยสร้าง Ecosystem ของฟินเท็คซึ่งรวมไปถึงบริษัท Startup ด้านฟินเท็ค, สถาบันทางการเงิน, หน่วยงานกำกับดูแล, บริษัทร่วมลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจด้านอื่น ๆ
ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนา National Fintech Roadmap ซึ่งมันจะกลายเป็นพิมพ์เขียว (Blueprint) สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมของฟินเท็คเพื่อแข่งขันในระดับโลก”
นอกจากนี้คุณจิรายุส กล่าวว่า Blockchain ได้เข้ามามีบทบาทกับทุก ๆ ภาคส่วน เนื่องมาจากความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี และการทลายทุกกำแพงที่ขวางกั้นเอาไว้ ในที่สุดแล้ว เทคโนโลยี Blockchain จึงก้าวเข้ามามีบทบาทที่สำคัญมากในระบบเศรษฐกิจของโลกใบนี้ อย่างไรก็ตามการที่จะทำให้เทคโนโลยี Blockchain นั้นสามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างเต็มที่
รัฐบาลจะต้องเป็นฝ่ายอนุมัติ และเป็นผู้นำการศึกษาถึงขอบเขต และความสามารถของเทคโนโลยีนี้ รวมไปถึงจะต้องให้ความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนในการที่จะสร้างนโยบายและกฏหมายต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในการที่จะใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์กร
“Blockchain นั้นทำอะไรหลายอย่างได้มากกว่า Bitcoin และการทำธุรกรรมทั่วไป ด้วยความสามารถที่เข้าถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ ได้ ความสามารถในการเก็บข้อมูลติดต่อ รวมไปถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้โดยไม่มีการแปรรูป ทำให้ Blockchain นั้นสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมต่าง ๆ
ลดปริมาณการทุจริต และสร้างรายได้จากผลประกอบการที่มากขึ้น อีกทั้งยังกระตุ้นให้ผู้คนมากมายได้รับในสิ่งที่พวกเขาควรจะได้รับ ยกตัวอย่างเช่น Blockchain ได้เข้าไปมีบทบาทในอุตสาหกรรมการเกษตรด้วยการช่วยเหลือเกษตรกรรมที่นับได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่ตอนปลายสุดของห่วงโซ่อุปทานให้ได้รับผลตอบแทนจากผลิตภัณฑ์ของพวกเขาอย่างยุติธรรม” คุณจิรายุสกล่าว
ก่อนหน้านี้คุณท็อปเคยกล่าวว่า “ทุกฝ่ายในไทยควรปรับตัวตามคริปโตและ Blockchain ให้ทัน” โดยเขาได้กล่าวว่า:
“ผมอยากจะยกตัวอย่างเทียบเคียงกับวิกฤติพลวัตที่เราเห็นเป็นตัวอย่างมาแล้ว อย่างกรณีธุรกิจฟิล์มถ่ายภาพหรือ แม้แต่ธุรกิจมือถือที่เคยครองความเป็นเจ้าตลาดของโลกและถูกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วมากเข้ามาทำให้ธุรกิจเดินต่อไม่ได้ ซึ่งถามว่า หน่วยงานเหล่านี้ รู้ไหมว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้น คำตอบคือรู้ครับ แต่วิ่งตามไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง จนทำให้เกิดวิกฤติธุรกิจอย่างที่เราได้ทราบกัน นี่เป็นตัวอย่างของวิกฤติพลวัตที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอย หากเราไม่ตื่นรู้กับการ เปลี่ยนแปลงอย่างทันท่วงที”
ที่มา:
Medium